Wednesday, June 27, 2012

A campaign by "Knowing Buddha"

There is a news in Thai local media that "Knowing Buddha" group will organize a campaign to rally for appropriate treatment of Buddha images and his names on June 30th.

Buddhists have been upset, although usually kept quiet, about non-Buddhists naming of bars, restaurants, merchandises, pets, etc. after Buddha, considering that as highly disrespect. Uses of his images or sculptures as mere decorative objects in various places rather than in a place of worship, are also considered unacceptable.

Tuesday, June 12, 2012

หลักความปรองดอง

ระหว่างที่ค้นเอกสารบนเว็บ ก็ไปเจอ หนังสือเล่มหนึ่ง เป็น ebook   ว่าด้วย หลักความปรองดอง ปัญจสดมภ์ เห็นว่าดีมาก 
ก็เลยจะใส่ลิงก์ไว้

ผมเก็บเอาไว้อ้างอิงแล้ว


Saturday, June 09, 2012

ป๊อปเปอร์ จะเป็นวิทยาศาสตร์ได้ก็ต้องพิสูจน์ได้ว่าผิด

ไปเจอวีดิโอ อ่านบทความดังของ เซอร์ คาร์ล ป๊อปเปอร์ (Sir Karl Popper) เรื่อง Science As Falsification

เป็นแนว ปรัชญาทางวิทยาศาสตร์  (Philosophy of Science) ที่อาจารย์ปรัชญาไทยบางท่านเรียกสาขานี้ว่า วิทยปรัชญา

ดีมาก น่าฟัง สำหรับคนขี้เกียจอ่าน หรืออ่านมามากไปแล้ว จนปวดตา

vdo link here



มุมมองของ ไอนสไตน์

ไปเจอ วีดิโอ สรุปย่อหนังสือของ อัลเบิร์ต ไอนสไตน์ เรื่อง โลกตามที่ฉันมองเห็น
ดีมาก ดูสองเที่ยว เลยเก็บลิงก์ไว้ที่นี่

Abert Einstein: "The Worlds As I see It."

ฝรั่งเถียงกันอยู่ แต่ไทยจะโดน "งานเข้า" ไหม

เพิ่งอ่านเจอว่า มี ๒ เรื่องใหญ่ๆ ที่ฝรั่งกำลังเจรจากันอยู่ลับๆ อยู่ก็มี และที่กำลังดำเนินการ พยายามจะออกกฎหมายก็มี สองเรื่องนี้ เป็นเรื่องระหว่างประเทศทีเดียว ที่จะกระทบกระเทือนไปทั่วโลก ถ้าสำเร็จ มีผลใช้บังคับ ก็เป็นเรื่อง เมืองไทยคงจะต้องเรียกได้ว่า มี "งานเข้า" ต้องโดนผลกระทบทางลบ

เรื่องแรกคือ กำลังมีความพยายามที่จะ "เก็บเงิน จากการส่งข้อมูลทางอินเตอร์เน็ท" (taxing the Internet)  โดยข้อเสนอของ  ETNO หรือ สมาพันธ์ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคมแห่งยุโรป  ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนปรึกษาหารือกันเป็นการลับ กรณีนี้ บริษัทไอทีใหญ่ๆ ของสหรัฐฯ และ ประเทศกำลังพัฒนา จะเสียประโยชน์ เสียเงิน และถ้าต้องเสียเงิน เขาก็อาจจะงดให้บริการประเทศที่เขาจะต้องเสียเงินในการส่งดาต้ามาให้ดูฟรีๆ  ผลจะกระทบต่อเรา คนในประเทศกำลังพัฒนา จะโดนหนัก เพราะว่าเป็นผู้บริโภคข้อมูลเป็นหลัก

ดูข่าวได้ที่นี่

อีกเรื่องคือ ACTA (Anti-Counterfeiting Trade Agreement) แปลเป็นไทยได้ว่า สนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการต่อต้านสินค้าปลอม  อันนี้เห็นๆ ประเทศกำลังพัฒนา ที่จะโดนหาว่าละเมิดลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตรจะโดนไปเต็มๆ เหมือนกัน ประเทศในยุโรปกำลังเถียงกันอยู่ ว่าจะผ่านในสภายุโรปไหม อาจจะไม่ผ่าน กรณีนี้ บริษัทใหญ่ๆ ของ สหรัฐฯ ได้ประโยชน์ เป็นส่วนมาก

ดูข่าวได้ที่นี่

คนไทยส่วนมากไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ มัวแต่ทะเลาะกันอยู่ เรื่องทางการเมือง เรื่องไม่น่าจะเป็นสาระสำคัญ เหมือนไก่ในกรง ท้ายรถสิบล้อ จิกกันฟัดกันนัว หารู้ไม่ว่า กำลังจะโดนส่งไปโรงเชือด

Wednesday, June 06, 2012

จะสร้างความมั่นใจในความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างไร

เรื่อง ความคิดสร้างสรรค์  (creativity) และ นวัตกรรม (innovation) กำลังอยู่ในความสนใจของผมด้วยพอดี
ก็พอดีไปเจอวีดิโอที่ TED เรื่อง จะสร้างความมั่นใจในความคิดสร้างสรรค์ของตัวได้อย่างไร พูดอีกอย่างก็คือ จะเอาชนะความกลัวในการแสดงออกเพื่อสร้างสิ่งใหม่ๆ ได้อย่างไร

ลิงก์ยังวีดิโอ

ผมว่าน่าไปชม

A metaphor of information as food

I just watched a TED vdo, a talk by JP Rangaswami who gave information an analogy of food.

Link to the vdo page here

From his conclusion at the end, we need to control how we consume information, like we control our quality and quantity of foods. We need also to exercise. I think I personally agree and will take precaution out of his suggestion. I have felt that I have information overloads and spent too much time processing them, not enough creating new stuff in the past. That is one point I want to make.

On another aspect, I think of situation in Thailand these days, we have had too much intended public  misinformations, or rather propaganda, and lies, which are equivalent to a lot of junk foods here.  Future historians interested in Thailand of this era will surely have a hard time sifting through information, e.g. in reported news, to determine which one is real which one is fabrication, and what facts were left out due to self-censorships. But that is their future problems. However, the more pressing problem for the current generation of Thais is that the majority of the Thai population have been subjected in the past few years to extensive misinformation, propaganda and plain lies, and information black out for political gains from factions with various ideologies, some extreme. This is more of a concern, since most of the population has no way to know that they have been fed with junk foods laced with toxins.  And this will serve as political time bomb and could break havoc on the society.




Sunday, June 03, 2012

อันเนื่องมาจาก Thailand's Tablet PC for grade 1 students

เพิ่งไปเจอหน้าเว็บที่เขาสัมภาษณ์นักพัฒนาโปรแกรมประยุกต์สำหรับใช้ในโรงเรียน กับเด็กประถมศึกษาปีที่ ๑ ของเรา
ผมคิดว่าน่าสนใจ ก็เลยจะใส่ลิงก์ไว้ตรงนี้ เผื่อคนสนใจไปตามข่าวคราวได้


ในส่วนตัวผมเองก็เซฟเนื้อหาเก็บไว้อ่านออฟไลน์ด้วยเหมือนกัน เผื่อต้องอ้างอิงในอนาคต

ก็เอาใจช่วยนักพัฒนาครับ 

(ทั้งๆที่ รู้ทั้งรู้เหมือนกับคนไทยส่วนมากทั้งประเทศว่า นี่เป็นโครงการที่มาจากการหาเสียงแบบแทบไม่มีหัวคิดของนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลในปัจจุบัน แต่ผมถือว่า ไม่มีอะไรที่มันจะเสียหรือเลวไปเสียทั้งหมด และในอีกด้านหนึ่ง ก็ไม่มีอะไรที่มันจะดีพร้อมไปทั้งหมด อย่างน้อย มองได้ว่ามันก็เป็นความพยายามหนึ่งที่จะพัฒนาการศึกษาในบ้านเรา แต่ในระดับงบประมาณของประเทศนั้น ​มันจะเป็นการลงทุนเข้าทำนองว่า ลงเงินไป ๑๐๐ บาท ได้ผลเท่ากับ ๑๐ บาทหรือเปล่า เป็นการลงงบประมาณแบบที่สำนวนชาวบ้านเขาว่า "เตะหมูเข้าปากหมา" หรือเปล่า การเวลาก็จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสิ่งที่ชาวบ้านเขามองไว้ก่อนแล้วนั้น ถูกหรือไม่)


Tuesday, May 15, 2012

ประท้วง ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม

ในหลายๆ ประเทศ ผู้คนที่เดือดร้อนทางเศรษฐกิจเริ่มออกมาประท้วง ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม ที่นักการเงินได้กำไรมหาศาล จากการทำลายเศรษฐกิจของคนอื่น (อย่างเช่นที่ประเทศไทยเคยโดน ตอนวิกฤตการณ์ ต้มยำกุ้ง)

นี่เป็น วีดิโอ สัมภาษณ์ที่ลอนดอน



ไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก วิกิพีเดีย

แต่ถ้าไปอ่านหนังสือ The Value of Nothing ก็จะได้อะไรแยะ ตอนนี้กำลังอ่าน(ฉบับแปลไทย) รอบที่ ๓ แล้วมัง

Monday, May 14, 2012

หนังสือเรื่อง คืนชีวิตสู้ห้วงสงบภายใน

เมื่อวาน ผมไปได้หนังสือแนวปรัชญามาสองเล่มจากร้านสมใจ ใครที่เป็นศิษย์เก่าสวนกุหลาบต้องรู้จักร้านนี้ดี เพราะอยู่คู่สวนกุหลาบฯ เชิงสะพานพุทธ มาค่อนศตวรรษ แต่ผมไปได้จากร้านสาขาที่ ดิโอลด์สยามพลาซ่า หนังสือเล่มหนึ่งที่ผมเริ่มอ่านวันนี้คือ หนังสือเรื่อง "คืนชีวิตสู้ห้วงสงบภายใน" แปลโดย สุริยฉัตร ชัยมงคล จากวรรณกรรมลือชื่อเรื่อง Walden ของนักปรัชญา ชาวอเมริกัน Henry David Thoreau ฉบับนี้พิมพ์ครั้งที่ ๔ แล้ว ไม่น่าเชื่อว่า หนังสือแบบนี้ก็มีคนไทยอ่านด้วย (แต่ตอนนี้ร้านนี้อาจจะหมดแล้วก็ได้)

ผมอ่านบทแรกด้วยความสนใจ แต่แล้วก็รู้สึกว่า น่าจะมี ebook จากเว็บของ Project Gutenberg ก็เลยไปเช็คดู

แน่นอน พบว่า มีทั้ง หนังสือเสียง  (audio book) และ อีบุ้ค ฟอร์แมต ต่างๆ ผมจึงดาวโหลด หนังสือเสียงในฟอร์แมต mp3 (ดูเหมือนจะ ๒๓ แฟ้ม ขนาดรวมเกือบ 500 Mb) และ อีบุ้คฟอร์แมต ePub มา ขนาดไม่ใหญ่ (ซึ่งจะเปิดอ่านได้โดยใช้ Firefox browser ที่มีปลั๊กอิน epubreader อยู่)

เทียบกันกับต้นฉบับแล้ว ผู้แปลเป็นภาษาไทย ทำหน้าที่ได้ดีพอสมควร แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ผู้แปลเสียชีิวิตไปนานแล้วตั้งแต่วัยหนุ่ม แต่ทว่าต้นฉบับหนังสือเล่มนี้อายุเกือบ ๒๐๐ ปี สำนวนเป็นแบบโบราณ คนไทยเข้าใจสำนวนวิธีบรรยายของคนเขียนที่เป็นฝรั่งในภาษาไทยได้ยาก ผมไม่ตำหนิว่าเป็นความบกพร่องผู้แปลแต่อย่างใดที่ผมตัดสินใจหันไปอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษประกอบด้วย เพื่อเสริมความเข้าใจ

สำหรับผม การอ่านต้นฉบับภาษาดั้งเดิมของเขาด้วย คิดว่าให้ความเข้าใจเนื้อความและบรรยากาศในบางบริบทได้ดีขึ้น ก็ก่อนหน้านี้พยายามฟัง audio book ก็ไม่ค่อยเข้าใจเนื้อความเท่าไร เพราะสำนวนการเขียนของผู้เขียน เป็นสไตล์การเขียนที่เยิ่นเย้อ ชักแม่น้ำทั้งห้า แบบเมื่อ ๑๕๐ ปีก่อน แต่ละประโยคมีท่อนย่อยๆ ภายในแยะมาก เรียกว่ามักต้องฟังจนจบย่อหน้าเสียก่อนถึงจะพอเข้าใจ เนื้อความแบบนี้ไม่เหมาะในการฟัง ก็เลยไม่ฟังต่อ ทั้งๆ ที่ผู้บรรยายหนังสือ เสียงอ่านได้ดีมาก ชัดเจน ได้จังหวะจะโคนดี

ใครสนใจอยากอ่านบ้าง ก็ไปดาวน์โหลดหนังสือมาได้จาก Project Gutenberg ก็แล้วกันครับ



Sunday, May 13, 2012

ปัจจัยหลักของความเสื่อมสลายของสังคมตะวันตก

ไปดู vdo clip (ความยาวราว ๑ ช.ม.)  องค์ปาฐกพูดถึงปัจจัยหลักของความเสื่อมสลายของสังคมตะวันตก

จากวิดีโอนี้

สรุปความได้ว่า เขาพูดถึงสาเหตุใหญ่ของ ความเสื่อมสลายของสถาบันในสังคมตะวันตก คือ

การบังคับใช้กฎหมาย (rules of laws) มีแต่ การบังคับใช้กฎของนักกฎหมาย (rules of lawyers)
ปัจจุบัน ค่าใช้จ่ายมหาศาลที่ซ่อนอยู่ คือ ค่าใช้จ่ายทางกฎหมาย และทำให้ประสิทธิภาพของ การบังคับใช้กฎหมายลดลง (ผมมองว่า ฝรั่งมีแนวโน้มที่จะชอบฟ้องร้อง โดยไม่มีเหตุผล และเรียกแพงๆ) และ ระเบียบยุ่งยากต่างๆ ในการก่อตั้งธุรกิจ ทำให้ล่าช้า เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ พบว่า ประเทศอื่นๆ (เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ นิวซีแลนด์) มีประสิทธิภาพกว่าสหรัฐฯ

(ผมมองย้อนมาบ้านเราว่า ไทยเรามีปัญหามากในเรื่อง การบังคับใช้กฎหมาย และความไม่เท่าเทียมกัน หรือ การเลือกปฏิบัติในการบังคับใช้กฎหมาย และ การใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทางการเมือง อันนี้ผมไม่ได้เข้าข้างฝ่ายไหน ว่าพรรคไหนโดยเฉพาะ พูดโดยภาพรวมทั้งหมด กล่าวแบบใจมีอุเบกขา)

ผู้พูดกล่าวต่อว่า คอรัปชั่น ทั้งในระดับปัจเจกชน จนถึงระดับใหญ่ๆ เป็นปัจจัยอีกอย่างที่ทำให้สังคมใหญ่สลายลงได้ แม้แต่ อาณาจักรโรมันอันเกรียงไกรในประวัติศาสตร์ ก็ถล่มสลายลงได้ภายในเวลาอันสั้น แค่ ๓ ทศวรรษเท่านั้น
ตัวอย่างระดับปัจเจกชน ก็เช่น การที่คนจำนวนมากขึ้น (ในสหรัฐ) หาวิธีจ่ายภาษีรัฐให้น้อยลง ด้วยวิธีการต่างๆ แต่ไปแบมือรับสวัสดิการจากรัฐมากขึ้น อันนี้สาเหตุเป็นเพราะ ระดับคุณธรรมลดลง

ผมหวังว่าประเด็นปัญหาเหล่านี้ ที่บันทึกไว้ จะเป็นประโยชน์ในการนำมาแก้ปัญหาความเสื่อมสลายของสังคมไทย



ตะวันตกรุ่งเรืองเพราะเหตุ ๖ ปัจจัย

ผมยังคงตามดูการบรรยายของ Niall Ferguson ต่อไป ก็ไปเจอการบรรยายของเขา ที่ TED 2011
ในตอนนี้ เขาบรรยายว่า ตะวันตกรุ่งเรืองเพราะอะไร ในรอบ ๕ ศตวรรษที่ผ่านมา มีปัจจัย หรือ เพราะองค์กร ๖ ประการ ที่เขาใช้ศัพท์สมัยใหม่ว่า Apps และในที่สุด สังคมตะวันออก ก็กำลังจะไล่ตามทัน แต่ว่าจะได้หรือไม่ ถ้าปัจจัยไม่ครบ

๖ ปัจจัยนั้นได้แก่

๑  การแข่งขันในยุโรประหว่างสถาบันต่างๆ (องค์กรต่าง นครรัฐ ต่างๆ) ทำให้เกิดการพัฒนาทุกๆ ด้าน รวมทั้งสังคม เศรษฐกิจ การเมือง
๒ การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ การค้นพบใหม่ๆ โดยนักวิทยาศาสตร์ผู้ปราชญ์เปรื่อง ส่งผลกระทบให้มีการประยุกต์ความรู้ไปใช้ รวมทั้งในทางอุตสาหกรรม
๓ สิทธิเป็นเจ้าของในที่ทำกิน (ในระดับพอเพียง) ทำให้คนมีความกระตือรือร้น มากกว่าในดินแดนที่ราษฎรไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของในที่ดิน
๔ พัฒนาการทางการแพทย์ เช่นการรักษาโรคร้ายแรง ลดอัตราการตาย เพิ่มอายุขัยเฉลี่ย มากกว่าประเทศอื่นๆ
๕ สังคมแห่งการบริโภค ทำให้เกิดการขยายการค้าขนานใหญ่
๖ จรรยาบรรณในการทำงาน มีความรับผิดชอบในการงาน ทำงานหนัก ตรงเวลา

ผมว่าปัจจัยพวกนี้ต้องคิดให้มากๆ และตีโจทย์ให้แตก เราคงต้องฟังข้อเสนอของเขา มาพิจารณาอย่างพินิจพิเคราะห์ เพื่อสร้างสังคมไทยใหม่ที่ดีกว่าขึ้นมาในอนาคต โดยเฉพาะหลังวิกฤติการเมืองระดับโลก ระดับประเทศ และสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ที่กำลังทวีกำลังแรง และในที่สุดก็น่าจะผ่านพ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
น่าไปชม

การบรรยายที่ TED ของ Ferguson

ควันหลงจากการอ่านหนังสือเรื่อง ความรุ่งเรืองของเงินตรา

ผมเพิ่งอ่านหนังสือแปลเล่มหนึ่งจบ หลังจากซื้อหนังสือมาหลายเล่ม ช่วงสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ เล่มนี้มีชื่อว่า "ความรุ่งเรืองของเงินตรา ประวัติศาสตร์การเงินโลก" แปลจาก The Ascent of Money: A Financial History of the World เขียนโดย Prof. Niall Ferguson แปลโดย อรนุช อนุศักดิ์เสถียร ผมเห็นว่าเป็นหนังสือที่ให้ความรู้มาก ผู้แปลก็แปลได้ดี อ่านแล้วทำให้ผมเกิดความเข้าใจว่า พัฒนาการของระบบการเงินของโลกที่ทำให้คนเชื้อสายยิวในยุโรปและอเมริกาเข้าครอบครองโลกและมีอิทธิพลเหนือรัฐบาลต่างๆ ของโลก ทำให้เกิดการเอาเปรียบคนส่วนใหญ่ของโลก และริบเอาทรัพยากรของโลกส่วนมากไปไว้ในกำมือ พร้อมทั้งทำลายสิ่งแวดล้อมของโลกอย่างมหาศาล มีความเป็นมาอย่างไร

ผมเริ่มมอง หรือ คิดอะไรจากมุมมองสามมิติ (perspective) มากขึ้น เห็นความเชื่อมโยงของ วิชาประวัติศาสตร์ วิชาเศรษฐศาสตร์ วิชารัฐศาสตร์ และ วิชาปรัชญา อีกด้วย

ผมกำลังตัดสินใจว่าจะอ่านหนังสือแปลเล่มนี้รอบสอง แต่ก็ขอพักก่อน ผมเกิดสนใจในตัวผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา

ผมเลยเปลี่ยนด้วยการไปดู Youtube และดูวิดีโอ ที่ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ให้สัมภาษณ์หลายตอน ตอนหนึ่งที่มีประโยชน์ และให้ข้อคิดมาก คือ ตอนนี้ใส่ลิงก์ไว้ข้างล่างนี้ เกี่ยวกับหนังสือล่าสุดของเขาที่ชื่อ Civilization เดาว่า คงมีคนกำลังแปลเป็นไทยอยู่แน่ๆ (ผมก็จะรอซื้ออ่านเมื่อมันออกมา) ในคลิป
เขาพูดเรื่อง ทำไมประเทศตะวันตกถึงพัฒนามาในรอบ ๕๐๐ ปีที่ผ่านมา แซงหน้า อาหรับ อินเดีย และ จีน ที่เจริญมาก่อนได้เพราะอะไร เขายังทำนาย แนวโน้มของการเมืองและเศรษฐกิจของโลกในปัจจุบันและในอนาคต จากมุมมองของเขา ผมว่า ความเห็นเขาน่าฟัง และเป็นไปได้มากทีเดียว

สัมภาษณ์ นีล เฟอร์กูสัน นักประวัติศาสตร์ของ ฮาร์วาด

Monday, May 07, 2012

The real Visak day is in May not June

During my meditation this morning, my mind remembered that 2 days ago was Vesak day, what we call วิสาขบูชา in Thai language. It is on the 15th waxing-moon night, or the full moon night of the sixth lunar calendar, usually in May of the solar calendar. Over 26 centuries ago, Prince Sidhartha was born in 80 B.B.E. , then became enlighten when he was 29 years old, and entered Parinirvana (passed away) when he was 80 years old, on this very important same lunar date but in different years.  So the important date is the waxing full moon night of the 6th lunar calendar. It has been like that since I remember from my childhood.

Makapuja day is on the full moon night of the third lunar month. Asarnhapuja is in the eight lunar month.

There is only one problem for lunar calendar. Every four years, there is one leap year. And in that case, Asarnhapuja day has been moved forwarded one month, into the so called second eight lunar month. (I guess they don't want to call it the ninth month to avoid confusion of having 13 lunar months in leap year.)

But this leap year, as far as I notice is weird. All the Thai calendar move not only Asarnhapuja day, but also Makapuja day, and Visak day, one month forward as well.  I don't know why "they" do it. Nor do I know who "they" are.

Many of the Buddhist monks I revered don 't change their Vesak and Makapuja dates after the schedules in this leap year calendar. They sticked to the traditional 6th lunar month for Vesak and the 3rd month for Makapuja. So I can't help but make a note here in my blog about this.

As far as I am concerned, I will stick to my master monk, who regard the Vesak as in the 6th lunar month, i.e. just 2 days ago. Others can choose next month date as they wish.

Sunday, May 06, 2012

การคิดเป็นระบบ

ผมค้นข้อมูลเกี่ยวกับ การคิดเชิงระบบ หรือ การคิดเป็นระบบ systems thinking แล้วไปเจอ วีดิโอคลิปน่าดู จาก youtube ผมดู ๒ รอบ เลย ดีมาก


Update : ผมไปดูมาอีกเป็นรอบที่ ๓

ในการบรรยายของเขา เขาพูดว่า ตอนนี้สภาพการในโลกมันยุ่งเหยิงไปหมด อย่างเช่นคนที่ต้องรับผิดชอบระดับสูงของชาติ (อเมริกา) ไม่มีความรู้อะไรเพียงพอที่จะเข้าใจสภาพการณ์เลย ไม่ต้องพูดถึงว่าจะไปเข้าควบคุมสถานการณ์ (ดูเหมือน สารขันฑ์ ยังไงไม่รู้แฮะ) และก็ว่า องค์กร ต่างๆ ต้องการ Transformation ไม่ใช่แค่ Reformation และว่า องค์กร ต่างๆ ไม่ทำตามวัตถุประสงค์ที่แท้จริง ตามที่ตั้งไว้ ดูได้จากการกระทำของผู้บริหารองค์กรต่างๆ ส่วนมากเห็นได้ชัดว่า เป็นไปเพื่อ ประโยชน์และคุณภาพชีวิตของกลุ่มผู้บริหารองค์กรมากกว่า เขายกตัวอย่างทั้งบริษัทใหญ่ๆ ระดับโลก และ มหาวิทยาลัย ด้วย

ใครเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย น่าจะไปฟังเขาครับ

จากห้วงเวลา ดูเหมือนว่า หลังจากการบรรยายนี้ไม่นาน เขาก็เสียชีวิตลง น่าเสียดาย
Dr. Russell Ackoff's talk in 2004



Friday, April 27, 2012

เมื่อไรห้องสมุดไทยจะดิจิไทซ์เนื้อหาไว้ให้สาธารณชนเสียที

ไปอ่านเจอเร็วๆ นี้ ห้องสมุดของอ๊อกซ์ฟอร์ด และ วาติกัน เริ่มจะดิจิไทซ์ข้อมูลเอกสารโบราณให้สาธารณชนได้เข้าถึง ตามข่าวนี้

ก็ทำให้ผมจำได้ว่า เมื่อไปห้องสมุดใหญ่ๆ แต่ละที่ ที่หนังสือมีแยะจนตาลาย ไม่รู้จะอ่านเล่มไหนดี แต่องค์ความรู้ในนั้น มีคนไทยไม่กี่พันคนเท่านั้นที่ไปนั่งอ่าน ในแต่ละปี ถ้าดิจิไทซ์เสีย คนไทยก็จะสามารถเข้าถึงได้ และก็สอดคล้องกับการที่เด็กไทยสมัยปัจจุบันมีเครื่องมือที่จะเข้าถึงได้ ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์ โน้ตบุ้ค หรือ ไอแพ็ด และเด็กๆก็กำลังจะมีเทเบล็ตจีน(ราคาถูก) แจกให้อีกในไม่ช้า

ก็ขอบ่นดังๆ ว่าเมื่อไรห้องสมุดไทยจะดิจิไทซ์เนื้อหาไว้ให้สาธารณชนเสียที (นี่ยังไม่ได้พูดถึงการทำดัชนี คือ indexing & annotations นะ แค่ดิจิไทซ์ได้ก็เป็นก้าวแรกแล้ว)

แต่เคยได้ยินภาษิตฝรั่ง จำได้คร่าวๆ และแปลเป็นไทยได้ดังนี้ว่า

นักวิทยาศาสตร์สามารถบอกได้ว่าเราทำอะไรได้มั่ง
วิศวกรสามารถบอกได้ว่าจะทำอย่างไร
นักเศรษฐศาสตร์บอกเราว่าควรทำหรือไม่
แต่นักการเมืองเป็นคนบอกว่าจะทำหรือไม่

คำบ่นนี้ สงสัยจะไม่ทันการเสียแล้ว คนไทยคงต้องรอยุคหน้า

update : สองสามวันหลังโพสต์นี้ ต่อมา ผมก็ไปเจอ Project Gutenberg Thai เข้าโดยบังเอิญ แต่ว่าตอนนี้หาเว็บไซต์ไม่เจอ ก็เลยอีเมลไปถามผู้ประสานงาน และก็ได้ความ ก็เลยได้เริ่มเป็นอาสาสมัครช่วยพิมพ์งานวรรณกรรมเก่าให้เขา วันละเล็ก วันละน้อย บ้างแล้ว
ก็สมกับคำกล่าวที่เคยได้ยินมาว่า "ถ้าอยากเปลี่ยนแปลงโลกนี้ ก็ต้องเริ่มที่ตัวเราเองก่อน" หรือ "ทำดีไม่มีขาย ถ้าอยากได้ ทำเอาเอง"

Tuesday, April 24, 2012

State of reading and book industry in Thailand

I would like to point out to a (Thai language) reprint of an interview of a Thai senior editor of books at the Butterfly Press. He gave several insights on problems concerning Thailand's Book publishing industry, state of reading by Thai population, etc.

Very good.  I wish there were a Thai bookworm education minister who would read this and rectify the situation.

Interview of Mr. Makut Oradee

Revisiting the Thai National Library in Bangkok

After almost 40 years, since the time I was ordered to go to the Thailand National Library near the Wasukri pier by one of my late high school teachers (at Suankularb), I just had free time for a visit to the same building again, this time as a grey-hair man. My old memory came back.

This time, I spent around 2 hours looking around various old reading rooms, and browse books on the shelves. It has not changed. (New building behind is just barely occupied so I did not visit.) The number of books are just marginal, although sufficient for casual browsing. No wonder I spent almost my 40 years somewhere elses, at my former universities' libraries as well as my own home library. Nevertheless, I 'll be back, for there are a number of books that I don't have in my home collection.

Back at home, I just found a copy of Thai article on the web, written for Matichon newspaper which reflect the sad situation of the Thai National Libraries. I hope the link below to the article in my blog will echo further this plight of Thai scholars with regard to the limitation of resources for the public a bit more. We talk about its holding size here. And I do not even start discussing digitization of its holding yet.

State of the Thai National Library (published in 2010)

Monday, April 23, 2012

Value of merchandises

I am reading a book by Raj Patel "The Value of Nothing" (Thai translation), and like it a lot.  It opens my eyes about the illusion and flaws of current market capitalism.
I just found a video "interview" of the author below.

Link to "A Big Think With Raj Patel"

Saturday, April 21, 2012

Nice collection of Thai educational philosophy articles

I just found a nice repository of Thai language PDF articles, from recent academic conferences, about contemplative education, wisdoms, insights, development of intelligence. I have downloaded a number of articles for my reading in the future.  Many of the articles look like the authors have adopted Buddhist philosophy, which is good in my opinion. I am now trying to study western philosophy in order to find flaws in western's thinking based on my personal background of Buddhist Metaphysics (Abhidhamma)  and molecular biology studies.

The link is at Contemplative Education Center, Mahidol University