Wednesday, July 30, 2008

เรื่องของกรรม

ช่วงนี้เรียนเรื่องกรรมจตุกกะอยู่ ท่านอาจารย์เน้นในทางปฏิบัติว่า อาจิณณกรรม เป็นเรื่องสำคัญ เพราะยามเมื่อสิ่งมีชีวิตใกล้จะตายนั้นจะไปไว้ใจ อาสัณณกรรมไม่ได้ ส่วนกฏัตตากรรมก็ไม่ไหว น่าจะเสี่ยงไป ส่วนครุกกกรรมนั่นคงไม่ได้ทำอยู่แล้ว เมื่อเป็นดังนั้นก็จัดแจงเลย ทำบุญหยอดตู้ทั้งเสาร์และอาทิตย์ และจะพยายามทำไปทุกอาทิตย์ต่อจากนี้ไป เมื่อไรที่ไปวัดก็จะทำให้เป็นอาจิณณกรรมเข้าไว้ และจะนึกถึงการทำกุศลให้บ่อยๆด้วย จะได้เป็นความเคยชิน นึกถีงก่อนจะทำ และขณะกำลังทำ และก็หลังจากทำแล้วบ่อยๆ เรียกว่าได้บุญสามเด้ง

ที่เขียนเรื่องกรรมนี้ อีกเหตุหนึ่งก็เพราะช่วงนี้อ่านดูจากเว็บต่างๆ ท่าทางดูสถานการณ์หลายอย่างไม่น่าไว้ใจ อะไรต่างๆจะเกิดก็ต้องเป็นไปตามกรรม ทั้งของคนในสังคม และของบ้านเมือง สำหรับผมนั้น ไม่อยากคิด (มีวิตก) เพราะว่าจิตมันจะปรุงให้เกิดกิเลสขึ้นมา อาจจะเป็น โทสะ (โกรธ หรือ เสียใจ ก็ตามแต่) หรือ โลภะ คืออยากจะให้มันเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หรือ โมหะ (ก็หลงไปคิดจนขาดสตินั่นแหละ) ก็ต้องวางอุเบกขาไป เซฟตัวเอาไว้ก่อน เรื่องนี้คนอ่านตีความเอาเองว่าหมายความถึงเรื่องอะไร แต่สมควรพูดเพียงว่า ความจริงนั้นผมมีนัยยะมากกว่าหนึ่งเรื่อง

ธมฺมจกฺกปฺปตฺตนสูตร

สองอาทิตย์ผ่านอาสาฬหบูชาไปโดยไม่ได้โพสต์ วันนี้เพิ่งมีโอกาสหยิบหนังสือสวดมนต์แปลมาพลิกอ่านโดยไม้ได้ตั้งใจ ก็เปิดไปอ่าน ธมฺมจกฺกปฺปตฺตนสูตร บาลี และ แปล ไทย อ่านไปทัั้่งบาลีและไทยจนจบสองสามเที่ยว ผมจึงเห็นว่า "ประโยคเด็ด" ต้องเก็บไว้ในบล๊อกนี้กันลืม น่ันก็คือ ตอนที่ตอนที่ท่าน โกญทัญญะ ได้ดวงตาเห็นธรรม (บรรลุธรรมเป็นพระอริยะขั้นต้น คือพระโสดาบัน) ท่านได้เห็นความจริงว่า

ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมนฺติ
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งปวงนั้นล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา
(ตามในหนังสือที่ผมคัดมา แปลเป็นไทยไว้)

แต่ในใจผม ผมเข้าใจเอาเอง เลยจะแปลไว้อ่านเองว่า

สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มีเหตุให้เกิดขึ้นอันเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดาทั้งสิ้น
(ก็เป็นความเข้าใจของผมเองละนะ คนอื่นไม่ต้องเชื่อตาม)

ผมอ่านวรรคเด็ดนี้แล้วก็พยายามจำให้ขึ้นใจไว้ เพราะใครจะบรรลุธรรมขั้นต้นนั้น ก็ต้องเห็นธรรมข้อนี้ และเข้าใจอย่างอย่างถ่องแท้เท่านั้นถึงจะผ่าน

Thursday, July 17, 2008

A good small restaurant in Paris




I had intended to write a blog about this restaurant but was busy and then forget about it for almost 2 months. I think the information should be useful for international visitors who are are looking for a good restaurant in Paris.

Before I departed to Paris, a French friend of mine recommended a small restaurant near the hotel where I 'd be staying, near Gare de Lyon TGV station. It serves good French dishes and wines. Moreover, the owner and the waitress there speak perfect English, which is very helpful ! This is because they had been working in the US some time ago. The name of the restaurant is Entre les Vignes. It 's across the street and about 300 meters from the train station, on Avenue Diderot. So we went there to dine on the last evening we stayed in Paris. It costed our family of three people about Euro 100 for that dinner. I can say that the foods are good there.

Saturday, July 12, 2008

วันนี้คุยเรื่องพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์

ไปเจอบล๊อก(ที่ใส่ลิงก์ไว้ข้างบน) เป็นของนักวิชาการท่านหนึ่งเขียนไว้ ผมตามไปอ่าน เป็นกรณีที่ท่านวิพากย์หนังสือเล่มหนึ่ง คือ หนังสือที่ชื่อว่า "ไอน์สไตน์พบ พระพระพุทธเจ้าเห็น" ท่านวิพากย์หนังสือเล่มนี้ บอกพอสรุปได้ว่าในส่วนการอ้างอิงทางวิทยาศาสตร์นั้นคลาดเคลื่อนมาก ผมอ่านวิจารณ์ของท่านแล้วก็เลยได้ความรู้สึกว่า หนังสือประเภทคาบเกี่ยวระหว่างพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์นี้ จะไม่ตรงใจนักวิทยาศาสตร์นัก เพราะฝึกมาให้เขียนเรื่องแบบเป๊ะๆ ผลการทดลองภายใต้เงื่อนไขอย่างใดต้องระบุให้ตรง ห้ามพูดกว้างๆ พูดเพี้ยนไปหน่อยไม่ได้เลย

ผมเองไม่ได้อ่านหนังสือเล่มดังกล่าว ที่เขาว่าขายดีมาก พิมพ์หลายสิบครั้ง แต่สงสัยว่าผมจะเคยพลิกๆดูอยู่นะแล้วก็ไม่ตรงจริตก็เลยไม่ซื้อ

อยากให้ความเห็นไว้ตรงนี้ไว้สั้นๆว่า ผมเคยอ่านหรือได้ฟังมาว่าพุทธศาสนามีวัตถุประสงค์เพื่อให้คนพ้นทุกข์ และโดยวิธีก็คือการละวาง ไม่ยึดถือ (เอากว้างๆละกันนะ ไม่อยากตรงตามปกรณ์เป๊ะ) แต่ผมเข้าใจเอาว่า วิทยาศาสตร์นั้น (ถ้ามองในแง่พุทธ) เป็นการสนองตัณหา ในที่นี้คือความกระหายอยากรู้ของนักวิทยาศาสตร์ และในการค้นหาความรู้เพื่อสนองความต้องการความรู้นั้น ก็มีขั้นตอน มีระเบียบวิธี และมีการถกเถียง สื่อสาร ส่วนเรื่องราวที่สื่อก็ต้องถือตามตัวอักษร ตามตรรกะ ตามหลักฐาน ตามเงื่อนไข ที่แน่นอน ดังนั้นพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์เป็นคนละเรื่อง การที่มีคนเอาสองเรื่องมาปนกันมันก็ต้องมีปัญหาอย่างนี้แหละ เพราะจากประสบการณ์ที่มีอยู่น้อยนิด ผมได้เห็นแล้วว่าทั้งพุทธศาสนาก็มีเรื่องที่ลึกล้ำมาก ถ้าใครไม่ได้เรียนอภิธรรม ก็คงถือไม่ได้ว่ารู้มากพอ ส่วนทางวิทยาศาสตร์นั้น ความรู้ทางฟิสิกส์ก็เปลี่ยนไปเร็วมาก คนนอกสาขาที่ไม่ได้ตามคงจะหมดสิทธิเขียนอธิบาย

ความจริงเรื่องการเขียนหนังสือวิชาการหรือกึ่งวิชาการเนี่ย คนที่รู้บ้างเล็กๆน้อยๆเนี่ยต้องระวัง ผมว่าคนพวกรู้งูๆปลาๆไม่ควรจะเขียน นี่ว่าโดยทั่วไปนะ ไม่ได้พูดกรณีเล่มนี้ ผมเคยอ่านเจอว่าครูบาอาจารย์รุ่นโบราณทางพุทธศาสนาท่านประพันธ์คาถาภาษาบาลีห้ามไว้เลยว่า ถ้ายังไม่ผ่านขั้นตอนอะไรมาบ้าง ห้ามแต่งปกรณ์ (มิฉะนั้นจะไปสอนคนอื่นผิด กลายเป็นบาปไปเสียอีก) คนเขียนหนังสือจึงต้องระวังให้มาก ไม่งั้นจะเขียนอะไรให้ความรู้สังคมผิดเพี้ยนไปได้ และคนอ่านก็ต้องใช้วิจารณญาณเหมือนกัน มีหนังสือบางเล่มผมซื้อมา พลิกอ่านคร่าวๆเสร็จผมก็โยนไปรวมกับเศษกระดาษเพื่อขายซาเล้งเลย เพราะผมว่าไร้สาระ ไม่ควรเก็บไว้ และไม่ควรจะจ่ายแจกคนอื่นอ่านต่อไปเสียอีกด้วย อย่างนี้ก็เคยมี

Saturday, July 05, 2008

บทความน่าอ่าน

ไปดูตามลิงก์ ที่บีบีซี เกี่ยวกับ บริษัท ไมโครซอฟต์ อ่านแล้วพบว่าสำนวนสะใจมาก เป็นเรื่องจริงทั้งนั้น คนทั่วโลกส่วนมากก็รู้ๆอยู่ แต่ไม่สามารถเขียนออกมาได้ปรุโปร่งอย่างนี้ ตอนแรกๆผมก็ฉงนอยู่ว่าทำไมนักข่าวบีบีซีเขียนได้ดีอย่างนี้ เพิ่งเห็นตอนหลังว่าชื่อคนเขียนคือใคร อพิโธ่ ริชาร์ด สตอลแมล เป็นคนเขียนนั่นเอง แกเป็น ศาสตราจารย์ทาง วิทยาการคอมพิวเตอร์ และ ประธานผู้ก่อตั้ง มูลนิธิซอฟต์แวร์เสรี (Free Software Foundation) คนดังระดับโลกนั่นเอง ที่สังเกตก็คือ แกจะเป็นคนเดียวในโลกละมังที่เรียกระบบ ลินิกส์ แบบชื่อยาวๆว่า กนูลินิกส์ GNU/Linux

Tuesday, July 01, 2008

Good foods for health

I just found two news from the web: one is that eating water melon is good. Another is an already known fact that drinking red grape (or red wine, that is) is also good.
Water melon has citrulline which will be converted by our body into Arginine which helps improve heart 's health and immune system. Red grape has resveratrol, which is an antioxidant and help reducing the number of fat cells, i.e. help keep your waist line.
So I 'll keep the note here to remind myself what do eat and drink from now on.