Monday, June 19, 2006

หมอนทอง

ในช่วงสิบกว่าปีมานี้ผมไม่ค่อยได้ทานทุเรียนเท่าไร เพราะคนใกล้ตัวแพ้กลิ่นเอาอย่างแรง ปีนึงผมจึงมักนึกอยากทานสักครั้ง ก็มักไปซื้อตามห้างที่เขาผ่ามาขายใส่ถาดโฟมไว้ให้แล้ว ปีนี้ไม่ได้นึกอยากกิน แต่มีลาภลอยมาให้จนได้ คือเพื่อนเอาหมอนทองมาให้หนึ่งลูก ก็เลยต้องรับเอาไว้ ทิ้งไว้สามสี่วัน มีกลิ่นหอมดีไป ๒๔ ชม. แล้วก็ยังไม่เห็นปลิงหลุดสักที แต่ก็เกือบหลุด ก็เลยตัดสินใจฉีก ปรากฎว่า ง่ายมากเลย ก้นก็ปริแล้วเป็นร่องๆ จะไม่ต้องใช้มีดผ่าก็ยังได้ และเปลือกบางดีมาก เทียบกับพันธุ์อื่นๆที่ผมเคยฉีกสมัยเด็กๆ รู้สึกประทับใจมาก แต่กินแล้วก็เป็นทุกขลาภ เพราะรู้สึกร้อนมาก ก่อนนอนไปจ๊อกกิ้งก็แล้ว อาบน้ำก็แล้ว ตอนเที่ยงคืนต้องลุกมาอาบอีกรอบ ขนาดนอนห้องแอร์นะเนี่ย สงสัยแคลอรี่สูงมาก ต่อไปก็คงรอไปอีกอย่างน้อยหนึ่งปี ปีนี้เข็ดแล้ว 

Thursday, June 15, 2006

สงสัยว่า วิกิข่าว ภาษาไทย จะไม่เวอร์คแฮะ

แวะเวียนไปดูอีกที หลังเริ่มลอนช์มาหลายเดีอนก่อน ปรากฏว่า วิกิข่าว ภาษาไทย นั้นไม่เห็นมีข่าวอัพเดทมาเกือบสามเดือนเข้านี่แล้ว ผมว่าได้ข้อสรุปอย่างนึง หนุ่มสาวไทยส่วนมาก อาจจะชอบบริโภคเนื้อหาจากเว็บมากกว่าเป็นผู้ช่วยสร้างเนื้อหาบนเว็บ
อาจจะเป็นค่านิยมสังคม หรือไม่ก็ ความไม่เห็นสำคัญว่าจะต้องไปทำอะไรเพื่อส่วนรวมทำไม เพราะเวลาของฉันนั้นมีค่า หรือว่า พวกเขาอาจจะมีวิธีใช้เวลาว่างที่เป็นประโยชน์มากกว่านี้ก็ได้ 

http://th.wikinews.org/wiki/หน้าหลัก

Tuesday, June 13, 2006

Desktop Manager: a useful software

I have been using Desktop Manager for the past few weeks and like it a lot. This is a free software for creating several desktops that can be switchable. It 's as if you have several monitors in one computer and you can open different programs in different desktops. As a result each screen would be less cluttered. Fortunately, I have ample RAM (1.5 GB) to work on multiple applications at the same time.

The version 0.5.3 of Desktop Manager, released since early 2005, works fine for Mac OS-X version 10.4.6 on my Mac G4 laptop. Now I happily switch among applications using the top panel switch or keyboard commands. This makes OS-X feel like Solaris and Linux. I wish Leopard, now under development by Apple, would incorporate this into it (and improve it further, of course).

Buddhadasa 's birthday centenary

Few days ago, I just finished my final exam on Julaaphidhammikatri (first level class out of 9 apidhamma classes that will take up the most of my weekends for my next 7 year). I felt a great relief (and realized I had suffering a lot lately, although that will lead to hapiness) and thus had more time to look around and will start clearing some "to-dos" as well. 

The centenary of Buddhadasa 's birthday passed a couple of weeks ago. I found some web sites about him below. I have a lot of his books. They actually gave me a lot of basic knowledge in Buddhism.  There were a lot of novel interpretation of the Tipitaka. I am not sure if some of his ideas presented in his books was written just to stimulate a novel thinking in the society at the time or he did really believe all what he said. So as an apidhamma student, although I got a head start from his work, now I may not agree with his view in total. Nevertheless, I admire his dedication and effort. I am sure his work has global impact and more will be felt: it 's a matter of time.

http://en.wikipedia.org/wiki/Buddhadasa
http://www.suanmokkh.org/
http://www.buddhanet.net/budasa.htm

Monday, June 12, 2006

ทรงพระเจริญ

I found a good reading froom CNN about His Majesty the King and Jazz music.
On this auspicious occasion commemorating the King's 60th anniversary to his accession to the throne as the King Rama IX of Thailand, as his subject I 'd like to use this post in my blog to humbly submit my deepest best wishes to him. May his paramita increase continually ever until nirvana is accessed in the long future.

Sunday, June 11, 2006

หนังสือแนะนำการเข้าสมาธิ

เพิ่งไปเจอ มีคนอุตส่าห์พิมพ์เข้าคอมพ์ไว้ให้ ใส่เป็นกระทู้เนื้อความจากหนังสือ ทิพยอำนาจ ที่ท่านเจ้าคุณ พระอริยคุณาธาร แต่งไว้ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๓ 

หนังสือนี้ผมก็เคยซื้อไว้ จากร้านหนังสือของมหามกุฏราชวิทยาลัย นานมาแล้ว อ่านไปบางส่วน ชอบมาก ก็เคยพยายามจะแปลเป็นภาษาอังกฤษ ได้ไปไม่กี่หน้าแต่ชะงักไปไม่มีกำหนด ยังไม่มีเวลากลับมาแปลอีก คงอีกนานเพราะเป็นงานฟรี

บุ้คมาร์คไว้ที่

http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=2029%20%3Cbr%3E

Sunday, June 04, 2006

ไป ถ้ำพระยานคร อุทยานแห่งชาติ สามร้อยยอด (ตอน ๒)

(My trip to Phraya Nakorn Cave, Samroiyod (300 Peaks) National Park, Pran Buri, Prachuab Khirikhan, part 2, continued from previous post)

เดินขึ้นเขาต่อไปอีกหลายแฮก ตามประสาคนไม่ค่่อยออกกำลังกาย พอถึงยอดเขาลูกเล็กก็เดินลงเนินไป จนเจอปากถ้ำ เป็นคูหาใหญ่มาก ก็ต้องไต่ลงไป ชันหน่อย เดินเข้าไปในคูหาแรก มองขึ้นไปด้านบนผาสูง จะเห็นบริเวณที่มีเว้าคล้ายโค้งใต้สะพาน ชาวบ้านเรียกว่า สะพานมรณะ ไกด์วัย ๙ ขวบของเราเล่าว่า สมัย ร. ๕ เสด็จประพาส เสบียงหมด มหาดเล็กต้องขึ้นไปหาเสบียง ได้ไล่หมูป่ามาจนตกเหวบริเวณนั้น เพื่อเป็นอาหาร ก็เลยได้ชื่อสะพานมรณะดังกล่าว

ผ่านคูหาใหญ่เดินต่อมา ผ่านที่มืดๆคลำไป จนไปออกคูหาใหญ่อีกแห่งหนึ่ง มีพลับพลาทรงไทยสร้างไว้ มีพระรูป ร. ๕ ประดิษฐานอยู่ แสงสว่างส่องลงมาจากผาด้านบนมายังถ้ำ ถ่ายรูปแล้วสวยงามดีมาก (ถ้ากล้องดี และฝีมือดีนะ)



ถ่ายรูปแล้วก็รีบๆกลับ เพราะใกล้มืดแล้วจะมองทางไม่เห็น กลัวฝนตกด้วย กลัวอันตราย
หลังจากลงมา คนที่ไปด้วยบอกว่าเจอยุงกัดเข้าไปเฉพาะที่ขา กว่า ๓๐ ตุ่ม ไม่นับที่กัดทะลุเสื้อบางๆของเขาและที่คออีก

ไป ถ้ำพระยานคร อุทยานแห่งชาติ สามร้อยยอด (ตอน ๑)

My trip to Phraya Nakorn Cave, Samroiyod (300 Peaks) National Park, Pran Buri, Prachuab Khirikhan (part 1)

ลุยโคลน ลงเรือหางยาวอ้อมทะเล ปีนเขา ฝ่าดงยุง ไปดูถ้ำที่เขาบอกว่าเป็น unseen Thailand

อยู่ที่หัวหินดีๆก็นึกอยากไปดู ถ้ำพระยานคร ที่อุทยานแห่งชาติ สามร้อยยอด เลยขับรถไปปราณบุรี มีป้ายบอกทางไป
หลังผ่านเข้าเขตอุทยาน แวะจอดรถที่วัดแห่งหนึ่ง จากนั้นต้องเหมาเรือกัน และต้องเดินเท้าเปล่าลุยหาดโคลนจากวัดไปราว ๕๐๐ เมตร เพราะน้ำลง พับขากางเกงยีนเดินลุยลงทะเลเพื่อไปลงเรือหางยาว เรือพาอ้อมเขาในทะเลออกไปอีกด้านหนึ่ง เข้าไปที่อีกด้านของอุทยาน


จากนั้นขึ้นหาดลุยเดินโคลนอีกทีหนึ่ง ไปล้างเท้าที่ห้องน้ำของอุทยานก่อนใส่ถุงเท้าและรองเท้าผ้าใบ
ให้อัศจรรย์ใจกับซองเปล่า ก.ย. ๑๕ ที่เต็มเข่งอย่างกะจะมีใครเตรียมส่งไปชิงโชค
พอเดินถึงตีนเขาก็เริ่มเจอยุงป่าฝูงเบ้อเริ่มมารุมกัน เลยเข้าใจ โชคดีที่ผมใส่ยีนส์และใส่เสื้อหนา เดินขึ้นเขาไป ๓๐๐ เมตร ระหว่างทางหยุดพักเหนื่อยหลายรอบ ถ่ายรูปที่จุดชมวิวราวๆกึ่งกลางทาง

ระหว่างทางก็มีนักท่องเที่ยวที่กำลังลงมาเป็นกลุ่มๆเดินสวนลงมา บอกให้กำลังใจเราว่าใจเย็นๆ เกือบถึงแล้ว ฝรั่งคนหนึ่งก็บอกว่า สวยคุ้มเหนื่อย ทนเอาหน่อย

(ยังมีต่อ)