Tuesday, May 15, 2012

ประท้วง ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม

ในหลายๆ ประเทศ ผู้คนที่เดือดร้อนทางเศรษฐกิจเริ่มออกมาประท้วง ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม ที่นักการเงินได้กำไรมหาศาล จากการทำลายเศรษฐกิจของคนอื่น (อย่างเช่นที่ประเทศไทยเคยโดน ตอนวิกฤตการณ์ ต้มยำกุ้ง)

นี่เป็น วีดิโอ สัมภาษณ์ที่ลอนดอน



ไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก วิกิพีเดีย

แต่ถ้าไปอ่านหนังสือ The Value of Nothing ก็จะได้อะไรแยะ ตอนนี้กำลังอ่าน(ฉบับแปลไทย) รอบที่ ๓ แล้วมัง

Monday, May 14, 2012

หนังสือเรื่อง คืนชีวิตสู้ห้วงสงบภายใน

เมื่อวาน ผมไปได้หนังสือแนวปรัชญามาสองเล่มจากร้านสมใจ ใครที่เป็นศิษย์เก่าสวนกุหลาบต้องรู้จักร้านนี้ดี เพราะอยู่คู่สวนกุหลาบฯ เชิงสะพานพุทธ มาค่อนศตวรรษ แต่ผมไปได้จากร้านสาขาที่ ดิโอลด์สยามพลาซ่า หนังสือเล่มหนึ่งที่ผมเริ่มอ่านวันนี้คือ หนังสือเรื่อง "คืนชีวิตสู้ห้วงสงบภายใน" แปลโดย สุริยฉัตร ชัยมงคล จากวรรณกรรมลือชื่อเรื่อง Walden ของนักปรัชญา ชาวอเมริกัน Henry David Thoreau ฉบับนี้พิมพ์ครั้งที่ ๔ แล้ว ไม่น่าเชื่อว่า หนังสือแบบนี้ก็มีคนไทยอ่านด้วย (แต่ตอนนี้ร้านนี้อาจจะหมดแล้วก็ได้)

ผมอ่านบทแรกด้วยความสนใจ แต่แล้วก็รู้สึกว่า น่าจะมี ebook จากเว็บของ Project Gutenberg ก็เลยไปเช็คดู

แน่นอน พบว่า มีทั้ง หนังสือเสียง  (audio book) และ อีบุ้ค ฟอร์แมต ต่างๆ ผมจึงดาวโหลด หนังสือเสียงในฟอร์แมต mp3 (ดูเหมือนจะ ๒๓ แฟ้ม ขนาดรวมเกือบ 500 Mb) และ อีบุ้คฟอร์แมต ePub มา ขนาดไม่ใหญ่ (ซึ่งจะเปิดอ่านได้โดยใช้ Firefox browser ที่มีปลั๊กอิน epubreader อยู่)

เทียบกันกับต้นฉบับแล้ว ผู้แปลเป็นภาษาไทย ทำหน้าที่ได้ดีพอสมควร แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ผู้แปลเสียชีิวิตไปนานแล้วตั้งแต่วัยหนุ่ม แต่ทว่าต้นฉบับหนังสือเล่มนี้อายุเกือบ ๒๐๐ ปี สำนวนเป็นแบบโบราณ คนไทยเข้าใจสำนวนวิธีบรรยายของคนเขียนที่เป็นฝรั่งในภาษาไทยได้ยาก ผมไม่ตำหนิว่าเป็นความบกพร่องผู้แปลแต่อย่างใดที่ผมตัดสินใจหันไปอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษประกอบด้วย เพื่อเสริมความเข้าใจ

สำหรับผม การอ่านต้นฉบับภาษาดั้งเดิมของเขาด้วย คิดว่าให้ความเข้าใจเนื้อความและบรรยากาศในบางบริบทได้ดีขึ้น ก็ก่อนหน้านี้พยายามฟัง audio book ก็ไม่ค่อยเข้าใจเนื้อความเท่าไร เพราะสำนวนการเขียนของผู้เขียน เป็นสไตล์การเขียนที่เยิ่นเย้อ ชักแม่น้ำทั้งห้า แบบเมื่อ ๑๕๐ ปีก่อน แต่ละประโยคมีท่อนย่อยๆ ภายในแยะมาก เรียกว่ามักต้องฟังจนจบย่อหน้าเสียก่อนถึงจะพอเข้าใจ เนื้อความแบบนี้ไม่เหมาะในการฟัง ก็เลยไม่ฟังต่อ ทั้งๆ ที่ผู้บรรยายหนังสือ เสียงอ่านได้ดีมาก ชัดเจน ได้จังหวะจะโคนดี

ใครสนใจอยากอ่านบ้าง ก็ไปดาวน์โหลดหนังสือมาได้จาก Project Gutenberg ก็แล้วกันครับ



Sunday, May 13, 2012

ปัจจัยหลักของความเสื่อมสลายของสังคมตะวันตก

ไปดู vdo clip (ความยาวราว ๑ ช.ม.)  องค์ปาฐกพูดถึงปัจจัยหลักของความเสื่อมสลายของสังคมตะวันตก

จากวิดีโอนี้

สรุปความได้ว่า เขาพูดถึงสาเหตุใหญ่ของ ความเสื่อมสลายของสถาบันในสังคมตะวันตก คือ

การบังคับใช้กฎหมาย (rules of laws) มีแต่ การบังคับใช้กฎของนักกฎหมาย (rules of lawyers)
ปัจจุบัน ค่าใช้จ่ายมหาศาลที่ซ่อนอยู่ คือ ค่าใช้จ่ายทางกฎหมาย และทำให้ประสิทธิภาพของ การบังคับใช้กฎหมายลดลง (ผมมองว่า ฝรั่งมีแนวโน้มที่จะชอบฟ้องร้อง โดยไม่มีเหตุผล และเรียกแพงๆ) และ ระเบียบยุ่งยากต่างๆ ในการก่อตั้งธุรกิจ ทำให้ล่าช้า เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ พบว่า ประเทศอื่นๆ (เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ นิวซีแลนด์) มีประสิทธิภาพกว่าสหรัฐฯ

(ผมมองย้อนมาบ้านเราว่า ไทยเรามีปัญหามากในเรื่อง การบังคับใช้กฎหมาย และความไม่เท่าเทียมกัน หรือ การเลือกปฏิบัติในการบังคับใช้กฎหมาย และ การใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทางการเมือง อันนี้ผมไม่ได้เข้าข้างฝ่ายไหน ว่าพรรคไหนโดยเฉพาะ พูดโดยภาพรวมทั้งหมด กล่าวแบบใจมีอุเบกขา)

ผู้พูดกล่าวต่อว่า คอรัปชั่น ทั้งในระดับปัจเจกชน จนถึงระดับใหญ่ๆ เป็นปัจจัยอีกอย่างที่ทำให้สังคมใหญ่สลายลงได้ แม้แต่ อาณาจักรโรมันอันเกรียงไกรในประวัติศาสตร์ ก็ถล่มสลายลงได้ภายในเวลาอันสั้น แค่ ๓ ทศวรรษเท่านั้น
ตัวอย่างระดับปัจเจกชน ก็เช่น การที่คนจำนวนมากขึ้น (ในสหรัฐ) หาวิธีจ่ายภาษีรัฐให้น้อยลง ด้วยวิธีการต่างๆ แต่ไปแบมือรับสวัสดิการจากรัฐมากขึ้น อันนี้สาเหตุเป็นเพราะ ระดับคุณธรรมลดลง

ผมหวังว่าประเด็นปัญหาเหล่านี้ ที่บันทึกไว้ จะเป็นประโยชน์ในการนำมาแก้ปัญหาความเสื่อมสลายของสังคมไทย



ตะวันตกรุ่งเรืองเพราะเหตุ ๖ ปัจจัย

ผมยังคงตามดูการบรรยายของ Niall Ferguson ต่อไป ก็ไปเจอการบรรยายของเขา ที่ TED 2011
ในตอนนี้ เขาบรรยายว่า ตะวันตกรุ่งเรืองเพราะอะไร ในรอบ ๕ ศตวรรษที่ผ่านมา มีปัจจัย หรือ เพราะองค์กร ๖ ประการ ที่เขาใช้ศัพท์สมัยใหม่ว่า Apps และในที่สุด สังคมตะวันออก ก็กำลังจะไล่ตามทัน แต่ว่าจะได้หรือไม่ ถ้าปัจจัยไม่ครบ

๖ ปัจจัยนั้นได้แก่

๑  การแข่งขันในยุโรประหว่างสถาบันต่างๆ (องค์กรต่าง นครรัฐ ต่างๆ) ทำให้เกิดการพัฒนาทุกๆ ด้าน รวมทั้งสังคม เศรษฐกิจ การเมือง
๒ การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ การค้นพบใหม่ๆ โดยนักวิทยาศาสตร์ผู้ปราชญ์เปรื่อง ส่งผลกระทบให้มีการประยุกต์ความรู้ไปใช้ รวมทั้งในทางอุตสาหกรรม
๓ สิทธิเป็นเจ้าของในที่ทำกิน (ในระดับพอเพียง) ทำให้คนมีความกระตือรือร้น มากกว่าในดินแดนที่ราษฎรไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของในที่ดิน
๔ พัฒนาการทางการแพทย์ เช่นการรักษาโรคร้ายแรง ลดอัตราการตาย เพิ่มอายุขัยเฉลี่ย มากกว่าประเทศอื่นๆ
๕ สังคมแห่งการบริโภค ทำให้เกิดการขยายการค้าขนานใหญ่
๖ จรรยาบรรณในการทำงาน มีความรับผิดชอบในการงาน ทำงานหนัก ตรงเวลา

ผมว่าปัจจัยพวกนี้ต้องคิดให้มากๆ และตีโจทย์ให้แตก เราคงต้องฟังข้อเสนอของเขา มาพิจารณาอย่างพินิจพิเคราะห์ เพื่อสร้างสังคมไทยใหม่ที่ดีกว่าขึ้นมาในอนาคต โดยเฉพาะหลังวิกฤติการเมืองระดับโลก ระดับประเทศ และสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ที่กำลังทวีกำลังแรง และในที่สุดก็น่าจะผ่านพ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
น่าไปชม

การบรรยายที่ TED ของ Ferguson

ควันหลงจากการอ่านหนังสือเรื่อง ความรุ่งเรืองของเงินตรา

ผมเพิ่งอ่านหนังสือแปลเล่มหนึ่งจบ หลังจากซื้อหนังสือมาหลายเล่ม ช่วงสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ เล่มนี้มีชื่อว่า "ความรุ่งเรืองของเงินตรา ประวัติศาสตร์การเงินโลก" แปลจาก The Ascent of Money: A Financial History of the World เขียนโดย Prof. Niall Ferguson แปลโดย อรนุช อนุศักดิ์เสถียร ผมเห็นว่าเป็นหนังสือที่ให้ความรู้มาก ผู้แปลก็แปลได้ดี อ่านแล้วทำให้ผมเกิดความเข้าใจว่า พัฒนาการของระบบการเงินของโลกที่ทำให้คนเชื้อสายยิวในยุโรปและอเมริกาเข้าครอบครองโลกและมีอิทธิพลเหนือรัฐบาลต่างๆ ของโลก ทำให้เกิดการเอาเปรียบคนส่วนใหญ่ของโลก และริบเอาทรัพยากรของโลกส่วนมากไปไว้ในกำมือ พร้อมทั้งทำลายสิ่งแวดล้อมของโลกอย่างมหาศาล มีความเป็นมาอย่างไร

ผมเริ่มมอง หรือ คิดอะไรจากมุมมองสามมิติ (perspective) มากขึ้น เห็นความเชื่อมโยงของ วิชาประวัติศาสตร์ วิชาเศรษฐศาสตร์ วิชารัฐศาสตร์ และ วิชาปรัชญา อีกด้วย

ผมกำลังตัดสินใจว่าจะอ่านหนังสือแปลเล่มนี้รอบสอง แต่ก็ขอพักก่อน ผมเกิดสนใจในตัวผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา

ผมเลยเปลี่ยนด้วยการไปดู Youtube และดูวิดีโอ ที่ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ให้สัมภาษณ์หลายตอน ตอนหนึ่งที่มีประโยชน์ และให้ข้อคิดมาก คือ ตอนนี้ใส่ลิงก์ไว้ข้างล่างนี้ เกี่ยวกับหนังสือล่าสุดของเขาที่ชื่อ Civilization เดาว่า คงมีคนกำลังแปลเป็นไทยอยู่แน่ๆ (ผมก็จะรอซื้ออ่านเมื่อมันออกมา) ในคลิป
เขาพูดเรื่อง ทำไมประเทศตะวันตกถึงพัฒนามาในรอบ ๕๐๐ ปีที่ผ่านมา แซงหน้า อาหรับ อินเดีย และ จีน ที่เจริญมาก่อนได้เพราะอะไร เขายังทำนาย แนวโน้มของการเมืองและเศรษฐกิจของโลกในปัจจุบันและในอนาคต จากมุมมองของเขา ผมว่า ความเห็นเขาน่าฟัง และเป็นไปได้มากทีเดียว

สัมภาษณ์ นีล เฟอร์กูสัน นักประวัติศาสตร์ของ ฮาร์วาด

Monday, May 07, 2012

The real Visak day is in May not June

During my meditation this morning, my mind remembered that 2 days ago was Vesak day, what we call วิสาขบูชา in Thai language. It is on the 15th waxing-moon night, or the full moon night of the sixth lunar calendar, usually in May of the solar calendar. Over 26 centuries ago, Prince Sidhartha was born in 80 B.B.E. , then became enlighten when he was 29 years old, and entered Parinirvana (passed away) when he was 80 years old, on this very important same lunar date but in different years.  So the important date is the waxing full moon night of the 6th lunar calendar. It has been like that since I remember from my childhood.

Makapuja day is on the full moon night of the third lunar month. Asarnhapuja is in the eight lunar month.

There is only one problem for lunar calendar. Every four years, there is one leap year. And in that case, Asarnhapuja day has been moved forwarded one month, into the so called second eight lunar month. (I guess they don't want to call it the ninth month to avoid confusion of having 13 lunar months in leap year.)

But this leap year, as far as I notice is weird. All the Thai calendar move not only Asarnhapuja day, but also Makapuja day, and Visak day, one month forward as well.  I don't know why "they" do it. Nor do I know who "they" are.

Many of the Buddhist monks I revered don 't change their Vesak and Makapuja dates after the schedules in this leap year calendar. They sticked to the traditional 6th lunar month for Vesak and the 3rd month for Makapuja. So I can't help but make a note here in my blog about this.

As far as I am concerned, I will stick to my master monk, who regard the Vesak as in the 6th lunar month, i.e. just 2 days ago. Others can choose next month date as they wish.

Sunday, May 06, 2012

การคิดเป็นระบบ

ผมค้นข้อมูลเกี่ยวกับ การคิดเชิงระบบ หรือ การคิดเป็นระบบ systems thinking แล้วไปเจอ วีดิโอคลิปน่าดู จาก youtube ผมดู ๒ รอบ เลย ดีมาก


Update : ผมไปดูมาอีกเป็นรอบที่ ๓

ในการบรรยายของเขา เขาพูดว่า ตอนนี้สภาพการในโลกมันยุ่งเหยิงไปหมด อย่างเช่นคนที่ต้องรับผิดชอบระดับสูงของชาติ (อเมริกา) ไม่มีความรู้อะไรเพียงพอที่จะเข้าใจสภาพการณ์เลย ไม่ต้องพูดถึงว่าจะไปเข้าควบคุมสถานการณ์ (ดูเหมือน สารขันฑ์ ยังไงไม่รู้แฮะ) และก็ว่า องค์กร ต่างๆ ต้องการ Transformation ไม่ใช่แค่ Reformation และว่า องค์กร ต่างๆ ไม่ทำตามวัตถุประสงค์ที่แท้จริง ตามที่ตั้งไว้ ดูได้จากการกระทำของผู้บริหารองค์กรต่างๆ ส่วนมากเห็นได้ชัดว่า เป็นไปเพื่อ ประโยชน์และคุณภาพชีวิตของกลุ่มผู้บริหารองค์กรมากกว่า เขายกตัวอย่างทั้งบริษัทใหญ่ๆ ระดับโลก และ มหาวิทยาลัย ด้วย

ใครเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย น่าจะไปฟังเขาครับ

จากห้วงเวลา ดูเหมือนว่า หลังจากการบรรยายนี้ไม่นาน เขาก็เสียชีวิตลง น่าเสียดาย
Dr. Russell Ackoff's talk in 2004



Friday, April 27, 2012

เมื่อไรห้องสมุดไทยจะดิจิไทซ์เนื้อหาไว้ให้สาธารณชนเสียที

ไปอ่านเจอเร็วๆ นี้ ห้องสมุดของอ๊อกซ์ฟอร์ด และ วาติกัน เริ่มจะดิจิไทซ์ข้อมูลเอกสารโบราณให้สาธารณชนได้เข้าถึง ตามข่าวนี้

ก็ทำให้ผมจำได้ว่า เมื่อไปห้องสมุดใหญ่ๆ แต่ละที่ ที่หนังสือมีแยะจนตาลาย ไม่รู้จะอ่านเล่มไหนดี แต่องค์ความรู้ในนั้น มีคนไทยไม่กี่พันคนเท่านั้นที่ไปนั่งอ่าน ในแต่ละปี ถ้าดิจิไทซ์เสีย คนไทยก็จะสามารถเข้าถึงได้ และก็สอดคล้องกับการที่เด็กไทยสมัยปัจจุบันมีเครื่องมือที่จะเข้าถึงได้ ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์ โน้ตบุ้ค หรือ ไอแพ็ด และเด็กๆก็กำลังจะมีเทเบล็ตจีน(ราคาถูก) แจกให้อีกในไม่ช้า

ก็ขอบ่นดังๆ ว่าเมื่อไรห้องสมุดไทยจะดิจิไทซ์เนื้อหาไว้ให้สาธารณชนเสียที (นี่ยังไม่ได้พูดถึงการทำดัชนี คือ indexing & annotations นะ แค่ดิจิไทซ์ได้ก็เป็นก้าวแรกแล้ว)

แต่เคยได้ยินภาษิตฝรั่ง จำได้คร่าวๆ และแปลเป็นไทยได้ดังนี้ว่า

นักวิทยาศาสตร์สามารถบอกได้ว่าเราทำอะไรได้มั่ง
วิศวกรสามารถบอกได้ว่าจะทำอย่างไร
นักเศรษฐศาสตร์บอกเราว่าควรทำหรือไม่
แต่นักการเมืองเป็นคนบอกว่าจะทำหรือไม่

คำบ่นนี้ สงสัยจะไม่ทันการเสียแล้ว คนไทยคงต้องรอยุคหน้า

update : สองสามวันหลังโพสต์นี้ ต่อมา ผมก็ไปเจอ Project Gutenberg Thai เข้าโดยบังเอิญ แต่ว่าตอนนี้หาเว็บไซต์ไม่เจอ ก็เลยอีเมลไปถามผู้ประสานงาน และก็ได้ความ ก็เลยได้เริ่มเป็นอาสาสมัครช่วยพิมพ์งานวรรณกรรมเก่าให้เขา วันละเล็ก วันละน้อย บ้างแล้ว
ก็สมกับคำกล่าวที่เคยได้ยินมาว่า "ถ้าอยากเปลี่ยนแปลงโลกนี้ ก็ต้องเริ่มที่ตัวเราเองก่อน" หรือ "ทำดีไม่มีขาย ถ้าอยากได้ ทำเอาเอง"

Tuesday, April 24, 2012

State of reading and book industry in Thailand

I would like to point out to a (Thai language) reprint of an interview of a Thai senior editor of books at the Butterfly Press. He gave several insights on problems concerning Thailand's Book publishing industry, state of reading by Thai population, etc.

Very good.  I wish there were a Thai bookworm education minister who would read this and rectify the situation.

Interview of Mr. Makut Oradee

Revisiting the Thai National Library in Bangkok

After almost 40 years, since the time I was ordered to go to the Thailand National Library near the Wasukri pier by one of my late high school teachers (at Suankularb), I just had free time for a visit to the same building again, this time as a grey-hair man. My old memory came back.

This time, I spent around 2 hours looking around various old reading rooms, and browse books on the shelves. It has not changed. (New building behind is just barely occupied so I did not visit.) The number of books are just marginal, although sufficient for casual browsing. No wonder I spent almost my 40 years somewhere elses, at my former universities' libraries as well as my own home library. Nevertheless, I 'll be back, for there are a number of books that I don't have in my home collection.

Back at home, I just found a copy of Thai article on the web, written for Matichon newspaper which reflect the sad situation of the Thai National Libraries. I hope the link below to the article in my blog will echo further this plight of Thai scholars with regard to the limitation of resources for the public a bit more. We talk about its holding size here. And I do not even start discussing digitization of its holding yet.

State of the Thai National Library (published in 2010)

Monday, April 23, 2012

Value of merchandises

I am reading a book by Raj Patel "The Value of Nothing" (Thai translation), and like it a lot.  It opens my eyes about the illusion and flaws of current market capitalism.
I just found a video "interview" of the author below.

Link to "A Big Think With Raj Patel"

Saturday, April 21, 2012

Nice collection of Thai educational philosophy articles

I just found a nice repository of Thai language PDF articles, from recent academic conferences, about contemplative education, wisdoms, insights, development of intelligence. I have downloaded a number of articles for my reading in the future.  Many of the articles look like the authors have adopted Buddhist philosophy, which is good in my opinion. I am now trying to study western philosophy in order to find flaws in western's thinking based on my personal background of Buddhist Metaphysics (Abhidhamma)  and molecular biology studies.

The link is at Contemplative Education Center, Mahidol University

Friday, April 20, 2012

สิกขา

การได้มีโอกาสไปสู่ร่มผ้ากาสาวพัสตร์ ไปอยู่ในป่า ชนบท ห่างจากความเจริญของเมืองใหญ่ ไม่มีไฟฟ้า ต้องใช้แสงเทียนและไฟฉายเป็นหลักในยามค่ำคืน อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ อากาศบริสุทธิ์ ปฏิบัติธรรมเป็นส่วนมาก สวดมนต์ สลับกับการอ่านหนังสือธรรมะ และ ปรัชญา ต่างๆ เสมือนหนึ่งได้ไปบ่มเพาะความรู้ความเข้าใจสิ่งที่ยังขาดในชีวิตของคนที่เคยอยู่แต่ในเมือง เป็นการชาร์จแบ็ตสมองอย่างดีเยี่ยม เป็นเวลา ๗ เดือน รู้สึกว่าตนโชคดี เพราะคนส่วนมากไม่มีโอกาสทำเช่นนี้ได้

ตอนนี้เข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วว่า ทำไมจึงเรียกการบวชว่า สิกขา เพราะเป็นการศึกษาอบรม ทั้ง กาย วาจา และ ใจ

ได้มีโอกาสเข้าใจความละเอียดอ่อนของวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยมากขึ้น เข้าใจความละเอียดอ่อนของจิตใจคนระดับชาวบ้าน และของตนเอง

ได้มีโอกาสสร้างกุศล ได้ร่วมทำบุญกับชาวบ้าน ออกทั้งแรงกาย แรงใจ แรงทรัพย์ที่มีเล็กน้อย ในการร่วมสร้างถนนให้วัด และ อะไรๆต่างๆ อีกมาก

ได้มีโอกาสศึกษากัมมัฎฐานแบบที่ไม่เคยเรียนมาก่อน ก้าวหน้าไปอีก
ได้ประสบพบเห็นกับตัวเองในสิ่งที่ชาววิทยาศาสตร์เชื่อว่าเป็นสิ่งไม่มีจริง เป็นเรื่องหลอกเด็ก หรือ เป็นความเชื่อโบราณคร่ำครึ

ได้มีโอกาสเป็นพยานกับตัวเองในธรรมอันลึกซึ้งของพระบรมศาสดา สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ได้เข้าใจแล้วว่า เกิดมาทำไม และรู้ตัวแน่แล้วว่า ภาระหน้าที่ของตน ที่จะต้องสงเคราะห์ต่อเพื่อนร่วมโลกนี้คืออะไร

เพื่อนชวนให้เขียนหนังสือประสบการณ์ระหว่างบวชออกมาสักเล่มหนึ่ง

ก็อยากเขียนอยู่ ตอนนี้ก็เริ่มแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะมีเวลาเขียนจนจบ ให้คนอื่นได้อ่านหรือไม่



Wednesday, April 18, 2012

Good vdo : Ajahn Brahm 's teaching entitled "Big Bang Buddhism"

I just watched this vdo clip of Ajahn Brahm 's teaching entitled "Big Bang Buddhism" and I like it a lot. I'll probably watch it again. He is a senior monk who had studied theoretical physics in his early years. Recommend.

http://www.youtube.com/watch?v=-xPeLspRBHc


Publish Post

Sunday, August 28, 2011

บทส่งท้าย epilogue ?

ผมอยากจะบวชมาหลายปีแล้ว ภรรยาก็สนับสนุนมาหลายปี แต่ผมก็ลังเลๆ ถึงราวปี ๒๕๕๒ ศีล ๕​ ผมก็บริบูรณ์ 
จนมาปีที่แล้ว ๒๕๕๓ ก็เริ่มเข้าฌาน ได้ จิตก็เริ่มพัฒนามากขึ้น วิปัสสนาคล่องขึ้น สมถะก็ดีขึ้น
จนจิตใจเป็นพระเข้าไปทุกทีๆ 

ความรู้สึกก่อนบวช เมื่อปีที่แล้ว คิดว่า บวชก็ได้ ไม่บวชก็ได้ เพราะว่าก้าวหน้ามาถึงขั้นที่ปลอดภัยแล้ว เคยเห็นนิพพานมาแล้ว ประจักษ์แล้วว่ามรรคผลนิพพานมีจริง ต่อมาอีกหลายเดือนก็คิดว่า
อยู่เป็นฆราวาสกระทบอารมณ์กับคนอื่นมากเกินไป และเบื่อกิเลสตัวเอง
ที่เห็นๆ ก็อยากจะหักดิบมัน เราจะไปขั้นก้าวหน้ากว่านั้น จะตัดกามราคะและปฏิฆะ ตัดการปรุงแต่งของวิถีจิตจากปัญจทวาร หรือทวาร ๕  ก็ต้องเข้าป่า ไม่มีทางอื่น 
แต่ก็ยังลังเล สุดท้าย ต่อมาผมได้ขึ้นเขาไปยังที่แห่งหนึ่ง ไปกราบนมัสการพระอาจารย์รูปหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ทรงฌาน ผมหารือท่านว่า อยากจะบวช กราบเรียนท่านว่า ผมถึงขนาดไปสอบถามหลวงพ่อองค์หนึ่งจะขอให้ท่านเป็นอุปัชฌาย์แล้ว แต่ตอนนั้นยังไม่ได้กำหนดวัน แต่ในใจบางครั้งก็ยังคิดว่าไม่สมควรทิ้งครอบครัวไป
ท่านอาจารย์ก็บอกว่า ถ้าเราคิดอย่างนั้น
ก็เท่ากับตำหนิพระพุทธเจ้าที่ทรงทิ้งครอบครัวไปบวชด้วยละสิ
และ ก็ต้องตำหนิองค์ท่านด้วย เพราะว่า ก่อนหน้าท่านจะบวชนั้น
ท่านเคยเป็นนักธุรกิจในกรุงเทพ เคยแต่งงานมาแล้ว ท่านยังตัดสินใจ สละทรัพย์สมบัติออกบวช
หลังจากคุยกับท่าน ผมก็เลยตัดสินใจว่าผมจะบวชแน่นอน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่ถอยหลังอีก

ผมคิดว่า ผมออกบวช ผมน่าจะสงเคราะห์ทางธรรมให้กับสมาชิกในครอบครัวได้มากกว่า 
การจะช่วยคนอื่น เสมือนหนึ่งก่อนจะไปช่วยคนอื่นที่ตกน้ำ
เราต้องฝึกว่ายน้ำให้เป็น ฝึกว่ายให้แข็ง เสียก่อน การออกบวชก็เป็นแบบนั้น 
ในขณะเดียวกัน ครอบครัวก็น่าจะอยู่ได้ในเมือง โดยที่ไม่มีผม ทั้งทางการเงิน
และเรื่องอื่นๆ

เมื่อตัดสินใจแล้ว บางวันผมก็เริ่งร่า รู้สึกฮึกเหิม เสมือนหนึ่งทหารที่กำลังจะออกสู่สมรภูมิ ดีใจที่จะไปเป็นนักรบของพระพุทธเจ้า ออกรบกันกิเลสของตัวเอง จะถือเอาผ้ากาสาวะเพื่อมุ่งสู่พระนิพพาน จะปฏิบัติธรรมด้วยการอุทิศชีวิตเต็มที่ต่อไป แต่ก็มีบางวันอยู่บ้างที่ใจกังวลเล็กน้อย เป็นห่วงครอบครัว แต่ตัดสินใจแล้วก็ต้องลองดู ยังไงก็ต้องออกศึกษาธรรมในป่าสักพักหนึ่ง จะอยู่บ้านอีกไม่ได้ มีสถานการณ์รัดตัวหลายอย่าง รู้ตัวว่า ชีวิตเป็นของน้อย เวลาเหลือน้อย ต้องรีบดำเนินการ

อีกไม่กี่วัน เมื่อผมแปลงเพศเป็นนักบวชแล้ว ต่อไปก็คงไม่ได้มาเขียนบล๊อกนี้อีก และอีกไม่นานนัก สังคมโลก ชีวิตของคนและสัตว์ และพืช ก็คงเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก ทุกอย่างมีเกิดมีดับ เป็นธรรมดา ทุกคนในโลกนี้ เกิดมามีชีวิตอยู่ไม่นานก็ต้องสุดสิ้นไป เป็นธรรมดา ผมจะไม่อาวรณ์เรื่องในอดีตอีก การงานอะไรที่คาราคาซังไว้ก็จะตัดไปหมด ตั้งเป้าว่า เมื่อชีวิตนี้ของตนสิ้นสุดลง ก็คงจบชีวิตในมิตินี้เพียงเท่านี้ 

วันนี้ วันอาทิตย์ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๙ ตรงกับ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔

เอวัง ฯ






Thursday, August 25, 2011

ทุกอย่างที่มีจุดเริ่มต้น ย่อมมีจุดสิ้นสุด

มีคำกล่าวว่า ทุกอย่างที่มีจุดเริ่มต้น ย่อมมีจุดสิ้นสุด เว้นไว้แต่พระนิพพาน

วันนี้ (ยังเป็นเมื่อวานนี้ คือ ๒๔ สิงหาคม ๒๐๑๑ ใน สหรัฐฯ) สตีฟ จ๊อบส์ ลาออกจากตำแหน่ง ซีอีโอ ของแอปเปิ้ล

ผมเห็นความเกิดมาแล้วก็ความดับไป รู้สึกสลดใจ

อีก ๗ วันต่อไป ก็ถึงคราวคนอื่นบ้าง สิ้นสุดฉากหนึ่งในชีวิตเฉกเช่นเดียวกัน แต่ในฐานะเพียงแค่คนตัวเล็กๆคนหนึ่ง






Tuesday, August 16, 2011

ช่วงนี้โลกมีแผ่นดินไหวระดับ ๕ ถี่มาก

ทั่วโลกมีแผ่นดินไหวระดับ ๕ ถี่มากช่วงนี้ จนน่าต้องระวังระไวในสัญญาณที่ธรรมชาติบ่งบอก ที่มากก็คือรอบวงแหวนแห่งไฟ (the ring of fire) รอบๆ มหาสมุทรแปซิฟิก ที่ดูอันตรายเพระเกิดถี่มากก็คือ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ นิวซีแลนด์
ภาพที่ถ่ายมาจากจอภาพเครื่องผม เป็นสถิติ ๗ วัน ณ วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๔ ค.ศ. ๒๐๑๑ ใคร
สนใจไปดูสถิติปัจจุบันได้ที่ลิงก์ข้างบน


Sunday, August 14, 2011

The temple where Buddha's picture was taken 26 centuries ago





Yesterday, I visited "Wat Phutthachai" วัดพระพุทธฉาย , which means "the temple of the Buddha's radiated picture", in Saraburi province.  According to local legend and my vague memory, Lord Buddha visited this small mountain 26 centuries ago, then local people asked Lord Buddha how could people in future generations be able to see him again. So Lord Buddha was kind enough to magically created his image on the side of the mountain as a long lasting gift. This area was rediscovered in the Ayutthaya period, after monks who came back from Ceylon or Serendip (presently Sri Lanka) told a King that there was a story they heard from Ceylon about such place in the Thai kingdom so a kingdom-wide search was conducted which led to its discovery.
The image was worshipped by many Kings and Royalties in the past. It is a nice place and easier to visit, esp. now that an eastern by-pass highway was built. I drove by it several times, until I decided I had to stop to visit it this time.

ความก้าวหน้าโครงการสร้าง มหาวิทยาลัยสงฆ์ ชัยภูมิ



ผมเพิ่งไปเยี่ยมโครงการสร้าง มหาวิทยาลัยสงฆ์ จังหวัดชัยภูมิมา เพราะปีที่แล้ว ผมและคณะได้บริจาคเงินไปบางส่วน คราวนี้ได้ไปกราบนมัสการ พระราชภาวนาวราจารย์ รองเจ้าคณะจังหวัดชัยภูมิ ท่านมาดูแลการก่อสร้างและรอรับญาติโยมอยู่เกือบทุกวัน ในแต่ละวันท่านต้องเดินทางไปกลับจากวัดของท่านวันละ ๑๘๐ ก.ม. ไปกลับ ปราสาทดิน กลางวันที่แดดจ้าและมีความร้อนระอุจากไอแดด ท่านก็นั่งร้อนๆ อยู่ในศาลาเงียบๆ รอต้อนรับพุทธศาสนิกชนผู้มาทำบุญ ผมรู้สึกสงสารท่าน ท่านอายุมากแล้ว แต่ก็ไม่ได้พักในป่าเย็นสบาย ด้วยเมตตาสูงยิ่ง ทำอุทิศตัวท่านทำกิจที่ได้รับการอาราธนามาเพื่อส่วนรวมของสงฆ์

ผมถ่ายภาพมาหลายภาพ เห็นสร้างอยู่ ๒ อาคาร อาคารใหญ่เป็นอาคารเรียนและชั้นบนเป็นที่พัก อีกอาคารเล็กกว่า ผมเข้าใจว่าเป็นห้องสมุดและห้องพักเหมือนกัน ดูเหมือนว่าในโครงการจะมีทั้งหมด ๓ อาคาร ยังขาดเงินอีกมาก แต่พระท่านก็คงทำไปเรื่อยๆ ได้ฟังมาว่าพระท่านดำเนินการสั่งซื้อวัสดุก่อสร้างเอง (ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของการสร้างวัดและศาสนสถานในบ้านเรา) ดังนั้น เชื่อว่าจะได้วัสดุก่อสร้างในราคาประหยัด คุ้มเงินบริจาค ใครผ่านไปชัยภูมิ ออกนอกเมืองไปสัก ๕ ก.ม. เลยสี่แยกด้านเหนือที่จะมุ่งไปทาง อช. ภูแลนคา เพียง ๑ ก.ม. กว่าๆ ก็ถึงโครงการ สามารถแวะไปบริจาคเงินทำบุญได้ ที่ศาลาเล็กๆ ด้านหลัง

Note: Visiting construction site for Chaiyaphum's (Buddhist Monk) Sangkha University.


วัดปราสาทดิน ในหน้าฝน

รอบๆ ปราสาทดิน อ. ภักดีชุมพล จ. ชัยภูมิ เป็นที่ปลูกป่าหลายร้อยไร่ มานานกว่าสิบปี หน้าฝน ป่าเขียวขจี ถนนเส้นสั้นๆบางส่วนที่ไม่มีรถวิ่ง มีมอสขึ้นเต็ม ตามพื้นป่ามีเห็ดนานาพันธุ์ขึ้นทั่วไป แม่ชีจะเดินไปเก็บเห็ดในแต่ละวันได้มาทำแกงได้เป็นหม้อใหญ่ เพื่อไปปรุงเป็นกับข้าวถวายพระ อุบาสิกาและโยมผู้ปฏิบัติธรรมในเช้าวันรุ่งขึ้น


อยากจะแอบบันทึกไว้ในบล๊อกส่วนตัวนี้ว่า ตัวผมเองได้เอาต้นไม้จำนวนหนึ่งติดรถไปปลูกไว้ด้วย เมื่อสองวันก่อน มีทั้งไม้ผล สมุนไพร กล้วยน้ำว้าพันธุ์ดี ที่ได้มาจาก ม.ก. กำแพงแสน  (เผื่อชาววัดเอาไว้รับประทาน สำหรับกล้วยคิดว่า ไม่กี่เดือนก็คงได้รับประทานแล้ว)