Monday, November 17, 2008

เศรษฐกิจตกต่ำแล้ว

คำว่า เศรษฐกิจตกต่ำ ดูเหมือนว่าผมจะเคยเรียนเรื่องนี้สมัยประถม เกือบสี่สิบปีมาแล้วละมัง ตอนเรียนประวัติศาสตร์สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ หรือในรัชสมัย ร. ๗ ที่มีการดุลย์ หรือให้ข้าราชการออกกันเป็นจำนวนมาก ผมก็ไม่เคยคิดว่าจะมีเรื่องนี้เกิดขึ้นในระดับโลกอีก ตอนนี้เริ่มเห็นแล้วว่า คำกล่าวที่ว่า ประวัติศาสตร์จะกลับมาเกิดซ้ำนั้นเป็นคำกล่าวที่จริง

วันนี้ก็นึกถึงคำว่าเศรษฐกิจตกต่ำนั้นอีก เพราะข่าวบนเน็ตวันนี้พูดถึงประเทศต่างๆ มี recession กันหลายประเทศทั่วกัน จะจีอะไรก็แล้วแต่ ทั้งสหรัฐ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ส่วนจีนก็ชะลอตัวไปแยะ ส่วนประเทศไทยเอง ปีนี้ก็เริ่มโดนกระทบแล้ว และปีหน้าก็คาดว่า อาจจะมีคนงานไทยต้องตกงานประมาณ ๑ ล้านคน เพราะโรงงานปิด ส่วนบัณฑิตจบใหม่ปีหน้า ๗ แสนคนก็อาจจะมีปัญหาเรื่องหางานทำไม่ได้

เรื่องเศรษฐกิจของไทยขึ้นกับการส่งออกมากไปเนี่ยผมจำได้ว่า วารสาร Fareastern Economics Review เคยเตือนเอาไว้ตั้งแต่สมัยก่อนวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้งเสียด้วยซ้ำ สิบกว่าปีต่อมาก็ประวัติศาสตร์คล้ายๆกับซ้ำรอยอีก เพราะโครงสร้างทางอุตสาหกรรมไม่ได้แก้ และคงไม่มีรัฐบาลไทยไหนจะมีปัญญาแก้ได้ในอนาคตอันใกล้

อีกเรื่องหนี่งคือเมื่อสามวันก่อน ผมไปอ่านเจอบทความจากมติชนรายสัปดาห์เรื่องบัณฑิตจะตกงานนั่น ผมอ่านแล้วผมก็รู้สึกว่าไม่เข้าใจคนในมหาวิทยาลัยต่างๆ เพราะเรื่องนี้พูดกันมากว่าสิบปีแล้ว อย่างน้อยก็ตั้งแต่ก่อนมี พรบ. การศึกษาฉบับปัจจุบันออกมา ผมออกจากแวดวงอุดมศึกษามานานพอควร แต่เอาเข้าจริง เวลาผ่านไปตั้งนาน แต่หลักสูตรต่างๆในสถาบันต่างๆส่วนมากก็ดูเหมือนจะไม่ทำอะไรกัน หลักสูตรส่วนมากที่มหาวิทยาลัยผลิตคนออกมาส่วนมากเพื่อสนองมหาวิทยาลัยและความสามารถเท่าที่มีของบรรดาอาจารย์เอง มากกว่าสนองความต้องการของสังคม หลักสุตรที่ดูจะไม่ค่อยมีประโยชน์ก็ยังคงเปิดกันต่อมาจนปัจจุบัน (แต่หลักสูตรที่ผลิตบัณฑิตทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์ยังไม่เพียงพอ สาขาอื่นๆนอกจากนั้นมีมากเกินไป) นอกจากนี้ บัณฑิตที่จบออกมาเป็นจำนวนมากก็มักขาดทักษะที่พร้อมจะทำงานได้จริงทันที ปัญหาเหล่านี้ สมัยก่อนผมมักนึกโทษระบบราชการ แต่จริงๆแล้วคงไม่ใช่ น่าจะเป็นกรอบความคิดของคณาจารย์ส่วนใหญ่มากกว่า ผมเคยได้ยินมาว่า ในบางหลักสูตร มีอาจารย์บางท่านตั้งใจดี พยายามจะปรับปรุงหลักสูตร แต่คณาจารย์ที่เหลือทั้งหมดไม่มีใครอยากทำอะไร ผลที่สุดก็เลยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นี้ก็เป็นตัวอย่าง และเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา

ว่าแล้วก็ต้องปลง

No comments: