Monday, September 26, 2005

My one year anniversary of Vipassana lesson

ผมเรียนวิปัสสนาขั้นต้นมาได้ครบปีหนึ่งแล้วละมัง หลังจากไปกราบนมัสการหลวงพ่อปราโมทย์ที่กาญจนบุรีปีที่แล้วมาสองครั้ง คือในปี พ.ศ. ๒๕๔๗
หลายปีก่อนหน้านี้ผมไม่เคยรู้ว่าวิปัสสนาสำคัญอย่างไรในทางพุทธศาสนา เพราะฝึกมาแต่สมถะ ซึ่งก็คงจะทำมาอย่างน้อย ๘ ปีแล้วละมัง ผมชอบเข้าสมาธิและให้จิตใจสงบ เป็นการหลบความวุ่นวายของโลก และความเครียดในเรื่องต่างๆในอดีต
ผมเคยไปเรียนที่วัดอัมพวันของหลวงพ่อจรัญที่สิงห์บุรีมา ๓ ครั้ง ครั้งแรก ๗ วัน ในปีต่อๆมา ครั้งต่อๆมาแค่ ๓ วัน แล้วก็ไม่ได้ไปมาหลายปีแล้ว เพราะวัดนั้นคนเข้าแยะมาก เลยปล่อยพื้นที่ไว้สำหรับคนเริ่มใหม่ก็แล้วกัน
แต่ก็ปฏิบัติสมถะภาวนามาเป็นครั้งคราว หลังๆนี่ผมเข้าไม่ได้ฌาณเท่าไร แต่อย่างไรก็คิดว่าตนเองชอบรู้กาย ใฝ่ในทางกายานุปัสสนา ยุบหนอพองหนอก็สงบดี แต่ต่อมากลับไปรู้ลมหายใจแทน ตามแบบมหาสติปัฏฐานสูตรและหลวงพ่อฤาษีลิงดำสอน(ในหนังสือที่ถอดเทปของท่าน)

ตอนแรกที่เพื่อนรุ่นน้องผมเอาหนังสือของหลวงพ่อปราโมทย์มาให้เมื่อต้นปีที่แล้วนั้น กว่าผมจะเริ่มอ่านก็ดองไว้หลายเดือน แต่ครั้งอ่านแล้วก็วางไม่ลงต้องอ่านจนจบภายใน ๒ วัน
จากนั้นก็อ่านอีกหลายรอบ และตามมาด้วยความศรัทธาหลวงพ่อ
อยากจะไปกราบนมัสการท่าน และตั้งใจจะแค่ไปทำบุญโดยอามิสบูชาเป็นหลัก รู้อยู่ก่อนเหมือนกันว่าท่านจะสอนธรรมะ แต่ไม่คิดมาก่อนว่าท่านจะสอนวิปัสสนาให้คนเมืองได้ทำกันได้
กลายมาเป็นผมทำปฏิบัติบูชาตามคำสองของท่านในรอบปีที่ผ่านมา
วิธีทำก็ไม่ยาก ตามรู้จิตใจเราไปเรื่อยๆ รู้ว่าตอนนี้อารมณ์หรือเวทนาเราเป็นอย่างไร สูขหรือทุกข์ มีกิเลสอะไรบ้าง ไปรับรู้อะไรบ้าง
แบบนี้ท่านสอนว่าคือมีสัมมาสติ บางครั้งผมสวดมนต์ผมยังนึกเห็นตัวผมเองนั่งสวดอยู่ ขณะที่คล้ายกับมีตัวอีกตัวหนึ่งยืนหรือนั่งดูข้างๆ ได้เริ่มเข้าใจว่า กายไม่ใช่เรา จิตไม่ใช่เรา ผู้รู้ไม่ใช่เรา
หนึ่งปีแล้วยังไม่ได้กลับไปกราบหลวงพ่ออีก กลัวหลวงพ่อสแกนจิตผมอีก รู้สึกละอายใจที่คราวแรกสุดเคยไปคิดอะไรนอกคอกไว้ เพราะรู้ว่าคุมจิตใจตนเองไม่ได้ ฟุ้งซ่านมากในปีที่แล้ว หลวงพ่อท่านก็รู้และมีเมตตาสอนเป็นอย่างดี
หนึ่งปีที่ผ่านมา ก็ฟังซีดีที่ท่านสอนมาตลอด แผ่นหนึ่งก็หลายเที่ยวแล้ว
ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าตัวเองมีความก้าวหน้าพอจะไปหรือยัง คิดว่าถ้าจะไปกราบหลวงพ่อ ก็คงจะเหมือนเดิมคือตั้งใจจะไปทำบุญกับท่าน อยากจะไปช่วยลงเงินในการเผยแผ่ธรรมะของหลวงพ่อ แต่เรื่องปัญหานั้น ผมยังไม่มีคำถามอะไรที่จะไปถามท่านอีกในตอนนี้
คงจะพยายามตามรู้จิต ตามรู้กายไปเรื่อยๆ

No comments: