Sunday, May 31, 2009

Book review (in Thai): Buddhist Philosophy

วันนี้เพิ่งไปได้หนังสือเล่มนี้มา

“พุทธปรัชญา มองพุทธศาสนา ด้วยทรรศนะทางวิทยาศาสตร์” โดย พันเอก สมัคร บุราวาศ
พิมพ์ครั้งที่ ๔ สำนักพิมพ์ ศยาม

หนังสือเล่มนี้ ท่านผู้เขียนซึ่งวายชนม์ไปแล้ว ผู้เป็นอดีตราชบัณฑิต เขียนขึ้นตั้งแต่ก่อนผมเกิดเสียอีก และพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๖

ก่อนอื่นผมอยากทบทวนความจริงที่ว่า เมืองไทยสมัยก่อนนั้น คนไทยเราที่จะเข้าใจศึกษาพระธรรมกันในเชิงลึกนั้น มีน้อย ไม่เหมือนสมัยนี้ การศึกษาพระอภิธรรมน่าจะยังไม่เกิดใหม่ (หลังเสียกรุงศรีอยุธยาไปแล้วเกือบสองร้อยปี พระธรรมาจารย์ชาวพม่าท่านอาจจะกำลังเข้ามา หรือเพ่ิงเข้ามาสอนในเมืองไทย สมัยจอมพล ป. ตามคำนิมนต์ของพระพิมลธรรม วัดมหาธาตุ ท่ามกลางการคัดค้านจากผู้มีอำนาจในบ้านเมืองในขณะนั้น เป็นผลให้พระพิมลธรรมโดนจับ สึก และคุมขังอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนจะได้ปล่อย และคืนสมณศักดิ์ หลายปีต่อมาในภายหลัง) ส่วนท่านพุทธทาสก็คงเป็นที่รู้จักของคนในสังคมไทยตอนน้ันไม่นานนัก หนังสือเล่มนี้จึงถือว่าเป็นหนังสือที่สำคัญเล่มหนึ่งของคนไทยในสมัยเมื่อ ๕๕ ปีก่อน และดูเหมือนท่านจะใช้สอนที่มหามกุฏฯด้วย ในสมัยนั้น มีความสำคัญ เพราะเป็นสิ่งที่ให้พื้นฐานจนเรามาถึงทุกวันนี้

แต่เมื่อมาพิมพ์ซ้ำ ห้าสิบปีต่อมา ตอนนี้ ผมอ่านดูแล้วก็เห็นว่ามีประเด็นอะไรที่ให้ข้อมูลพอสมควร และตอนนี้เราก็มีหนังสืออะไรๆมากขึ้น ก็มีจุดที่อยากจะให้ข้อสังเกตส่วนตัวไว้ ในเนื้อหาของหนังสือเก่าเล่มนี้

ที่ผมอยากแสดงความเห็นวิจารณ์เนื้่อหาหนังสือเล่มนี้ ไว้ในบล๊อกนี้ ก็เพื่อประโยชน์ของผู้อ่านเยาวชนในอนาคต แต่โดยความเคารพในความเป็นบูรพาจารย์ของผู้เขียน ก็คือผมมีความรู้สึกว่า ผู้เขียนท่านเขียนในสไตล์หนังสือประวัติศาสตร์พุทธปรัชญา ไม่ใช่ปรัชญาอย่างเดียว และก็ไม่ใช่หนังสือวิทยาศาสตร์อีกด้วย และการเขียนนั้น ก็แสดงในมุมมองของฝรั่งเป็นหลัก คงจะเป็นว่าสมัยน้ัน หลังสงครามโลกครั้งที่สองเสร็จหยกๆ คนไทยเรายังรู้สึกยกย่องฝรั่งผู้ชนะสงครามมากอยู่ ความคิดฝรั่งเป็นของดี เรื่องภูมิปัญญาล้ำลึกของคนตะวันออกยังไม่รู้สึกกันนัก
และผมกะเอาว่า ในตอนน้ัน หนังสือพระไตรปิฎกฉบับภาษาไทยของอาจารย์สุชีพ อาจจะยังไม่ได้พิมพ์เผยแพร่ก็ได้ ดังนั้น ท่านผู้เขียน แม้จะเป็นบุคคลร่วมสมัยกับ อ. สุชีพ ท่านจีงหันไปอาศัยข้อมูลจากหนังสือของ เนห์รู เป็นพื้นฐานในการเขียนอธิบายพุทธปรัชญา ค่อนข้างหนัก และอาจจะอาศัยหนังสือฝรั่งเล่มอื่นๆ ด้วยก็ได้ ท่านคงไม่ได้มีโอกาสอ่านพระไตรปิฎก (ภาษาไทยหรือบาลีก็ตาม) เพราะสิ่งที่ท่านนำมาอ้างนั้นเป็นสำนวนฝรั่งทั้งนั้น และเนื้อหาไม่ตรงพระสูตร และหากดูจากจับความรู้สึกจากการอ่านระหว่างบันทัดของผม ผมรู้สึกว่า ท่านผู้เขียนไม่ได้ให้ความสำคัญ เชื่อถือ หรือสนใจเนื้อหาในพระไตรปิฎกมากนัก เพราะถือแบบฝรั่งว่า พระไตรปิฎกก็เป็นประหนี่งตำนานปรัมปรา ที่โดนพระอรรถกถาจารย์ในยุคหลัง (แต่ก็คือ ๑๕๐๐ ถึง ๒๐๐๐ ปีมาแล้ว) แต่งคัมภีร์อธิบายเพิ่มเติมจนฝรั่งไม่เชื่อว่าจะตรงคำสอนเดิมของพระพุทธองค์เป๊ะ ตลอดจนเรื่องราวต่างๆทางประวัติศาสต์ นักปรัชญาฝรั่งก็ไม่เชื่อว่าถูกต้องทุกอย่าง (เพราะฝรั่งไม่รู้จักศีล ๕ เรื่อง มุสาวาทา เวรมณี ว่าพระภิกษุในพุทธศาสนาเคร่งครัดขนาดไหน)

อีกเรื่องหนี่งที่ผมอ่านแล้วผมก็ไม่เห็นด้วยกับหนังสือก็คือ ผมเองไม่ถือว่าคำสอนของพุทธศาสนาเป็นปรัชญา แต่ใครที่เป็นนักวิชาการศาสนา จะถือว่าเป็นปรัชญา ก็เป็นเรื่องของท่าน ตามปัจเจกบุคคลไป ตามสะดวก

ให้ความเห็นแค่นี้ก่อน

Wednesday, May 27, 2009

แอนตี้ออกซิแดนท์กับการออกกำลังกาย

บทความเพิ่งออกมาจากวารสาร PNAS วันนี้ น่าสนใจ เพราะเข้ากับการปฏิบัติตัวเพื่อสุขภาพที่ดี

นักวิจัยในเยอรมันและสหรัฐ ค้นพบว่าสำหรับคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อ ต้องการป้องกันการเป็นโรคเบาหวานประเภทที่ ๒ แล้วนั้น หากว่ามี การไปกินวิตามินซี (๑๐๐ ๐ มก.) และ วิตามินอี (๔๐๐ หน่วยสากล) ต่อวัน เป็นอาหารเสริมรายวัน ด้วย การกินวิตามินทั้นสองมันจะไประงับผลดีของการออกกำลังกายลงไปเสีย

เรื่องนี้ก็ผมสรุปเอาตามความเข้าใจของตัวเองว่า ออกกำลังกายมากๆ น่ะดี แต่ไม่ต้องกินวิตามินทั้งสองควบไปด้วย เอาไว้วันไหนไม่ออกกำลังถ้าอยากกินก็ค่อยกิน

อ้างอิง Ristow M, et al 2009 Antioxidant prevent health-promoting effects of physical exercise in humans. Proc. Natl. Acad. Sci. USA 106(21), 8665-8670, May 26, 2009.
doi:10.1073/pnas.0903485106

Tuesday, May 26, 2009

ชาวนาไทยตัวอย่าง

ไปเจอวีดิโอที่ออกรายการเมื่อปีที่แล้ว สรยุทธ สัมภาษณ์ คุณลุง ทองเหมาะ แจ่มแจ้ง เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติปี พ.ศ. ๒๕๔๙
ดีมากเลย

ผมเลยได้รู้ว่่า ข้าวหนึ่งถัง มีประมาณ 378,000 เมล็ด
นอกจากนี้ก็ได้รู้ว่า ชาวนาไทยส่วนใหญ่ ไม่มีความรู้ โดนพ่อค้าปุ๋ยและยาเคมีล้างสมองไปหมด และจำนวนไม่น้อย เป็นชาวนามือถือ คือโทรสั่ง จ้างคนมาทำ ซื้อของให้มาส่ง จ้างรถมาเกี่ยว เป็นหลัก

ผมมีความสนใจว่า สักวันหนึ่ง ผมจะมีโอกาสได้ไปเข้าคอร์สเรียนการเป็นชาวนาของท่านบ้างที่ศรีประจันต์

Saturday, May 23, 2009

ลินุกส์กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น

อุปกรณ์วิทยาศาสตร์เดี๋ยวนี้ หันมาใช้พีซีต่อพ่วงกันมาก ไม่เหมือนเครื่องสมัยก่อนที่จะมีแผงควบคุมอะไรเยอะแยะดูเหมือนในหนังไซไฟ การที่ใช้พีซี รันโปรแกรมควบคุมการทำงานของเครื่องมือพีซี ทำให้เครื่องมือวิทยาศาสตร์มีขนาดเล็กลงมาก (ราคาต้นทุนของผู้ผลิตลดลง และสร้างเครื่องมือง่ายขึ้น แต่ไม่รู้ว่าจะราคาขายถูกลงหรือเปล่า ผมคิดว่าคงจะไม่ โดยเฉพาะราคาขายในเมืองไทย ที่แพงมาก) พีซีที่ใช้ก็ส่วนมาก เดี๋ยวนี้รันในระบบวินโดวส์ ซึ่งถ้าเป็นเครื่องตั้งไว้เดี่ยวๆก็ไม่มีปัญหา แต่ปัญหาจะมีทันทีถ้ามีมีคนเอาสายเน็ตเวอร์คไปต่อ มันก็จะติดไวรัสงอมแงมทีเดียว หลายๆที่ รวมทั้งที่ทำงานด้วย ก็เลยป้องกันปลายเหตุด้วยการไม่ต่อเน็ตกับเครื่องที่พ่วงกับอุปกรณ์วิทยาศาสตร์เหล่านั้น

รู้สึกสงสารคนส่วนมากใช้ ที่ไม่ได้ใช้ระบบ ยูนิกส์ทั้งหลายแหล่ รวมทั้งลินิกส์ (หรือ ที่คนไทยส่วนมากเรียกว่า ลินุกส์ )

ช่วงนี้ลินุกส์กำลังมาแรง ซูเปอร์คอมพิวเตอร์เครื่องขนาดใหญ่สุดๆของโลก ๕๐๐ เครื่อง ใช้ลินุกส์กว่า 80% ตอนนี้ปริมาณเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วโลกที่ใช้ระบบลินุกส์ มีประมาณ 1% (เทียบ กับแม็ค โอเอสเท็น ประมาณ 5% แต่ในอเมริกา การใช้แม็คเพิ่มเป็นราว 10% แล้ว) ในเน็ตบุ๊ครุ่นใหม่กำลังทะยอยออกมาโดยใช้ลินุกส์ แต่ผมเข้าใจเอาเองว่า แล็ปท็อป ลินุกส์ยังไม่มีการนำออกมาขายในเมืองไทยในขณะนี้ นอกจากคอมพิวเตอร์ แม้แต่ในมือถือก็กำลังจะออกมาอีกเพียบ ไม่ว่า ระบบโอเอส Moblin ของอินเทล หรือแม้แต่ Android ของกูเกิล ก็ใช้เคอร์เนลเป็น Linux v. 2.6 ในต่างประเทศบางคน(แม้แต่อดีตโปรแกรมเมอร์ของไมโครซอฟต์เองที่ออกมาแล้ว หันมาใช้ลินุกส์) ก็ทำนายไว้ว่า ระบบวินโดวส์กำลังจะหมดยุค

ถ้าเป็นอย่างงั้นจริง ในอนาคต พีซีที่มาพ่วงกับเครื่องมือต่างๆมันก็คงจะไปรันลินุกส์

Friday, May 15, 2009

ความดันโลหิตสูง เพิ่งเจอสาเหตุ

ขณะที่แต่ละวันผมคอยเช็คความดันบ่อยๆเพื่อเฝ้าระวังความดันที่ดูจะสูงขึ้นตามอายุ และขนาดรอบเอว วันนี้ก็มีข่าวออกมาว่า เพิ่งมีเปเปอร์รายงานว่า ความดันโลหิตสูงเป็นเพราะติดเชื้อ cytomegalovirus (CMV) และอาการจะแย่ลงถ้ากินอาหารไขมันสูง โดยเฉพาะที่มีไขมันสูง

ก็เป็นเรื่องที่รู้กันอยู่ ว่าถ้าอ้วนก็จะเป็นโรคความดัน และคนทั่วไป ก็มักเคยเจอไวรัสนี้มาแล้ว และมันอาจจะแฝงอยู่ในตัวเราก็ได้ ตามข่าวบอกว่า คนทั่วโลกเป็นโรคความดันโลหิตสูงถึงพันล้านคน

จริงๆแล้ว ถ้ามองในแง่บวก ก็ต้องบอกว่า ถ้ามีไวรัสตัวนี้ตัวนี้ แต่ไม่ใช่ไวรัสที่มันแรงกว่านี้ ก็น่าจะพอใจแล้ว

ข่าวบอกอีกว่า วิธีรักษาใหม่ น่าจะใช้ยาต้านไวรัสมารักษาโรคความดันด้วย

และเคยไปอ่านเจอก่อนหน้านี้ว่า กินชาเขียวจากใบหม่อนช่วยลดไขมันในเลือด และลดความดันได้ มันก็คงจะเกี่ยวกัน ตอนนี้ก็เลยแย่งอาหารตัวไหมกินเป็นประจำ

Thursday, May 14, 2009

แม็กกาซีนออนไลน์ ในเนื้อหาของผู้อัพโหลดเอง

ได้รับจังก์อีเมล์จากคนรู้จัก ครูวาดเขียนของลูกสมัยเด็กๆน่ะ เวลาผ่านไปเร็วมาก ไม่ได้เจอกันหลายปี ระยะหลังก็ยังติดต่อกันอยู่ แกเป็นครูที่มีความเป็นครู และตั้งใจกับเด็กๆตัวเล็กๆมาก เราก็เลยรู้สึกเป็นกันเอง ความจริงแกดังนะ ถ้าใส่ชื่อแกลงในบล๊อกนี้ คนในเมืองไทยเป็นพันๆหรือเป็นหมื่นต้องรู้จัก แต่ไม่อยากใส่ เพราะเคารพในความเป็นส่วนตัวของแก

เปล่า ไม่ใช่ครูผู้หญิงหรอก ครูผู้ชาย ออกจะห้าวด้วย ไม่ใช่พวกนั้น

เขาส่งลิงก์มาให้ ความจริงเว็บไซต์ส่งมาให้ในนามเขามากกว่า ปกติถ้าเจอจังก์เมล์ก็จะลบทิ้งไปทันที แบบพวก ไฮไฟฟ์ อะไรประเภทนั้น แต่วันนี้เกิดไปเช็คดูเสียหน่อย ก็เลยได้ไปรู้จักเว็บนี้ ชื่อว่า อิชชู่ หรือ Issuu

เลยตามไปอ่าน วิกิพีเดีย เกี่ยวกับเว็บนี้ดู และก็ที่เว็บของเขาก็ไปอ่านหน้า About เสียหน่อย
น่าสนใจ น่าสนใจ

ตอนนี้ได้แต่เก็บบุ๊คมาร์กเอาไว้ ว่างๆจะสมัคร และอัพโหลดเอกสารขึ้นไปลองเสียหน่อย เพราะอันที่จริงเขียนบล๊อกก็หลายปีแล้ว แต่ไม่ได้ทำเอกสารออกมาเป็นแม๊กกาซีนหรูๆสักที น่าลองดูเหมือนกัน แต่คงต้องเขียนเป็นภาษาประกิตเสียหน่อย ให้ฝรั่งอ่าน

Saturday, May 02, 2009

วัยรุ่นกับดาราเกาหลี

ไปประชุมผู้ปกครองนักเรียนวันก่อน ได้คุยกับพ่อแม่ของนักเรียนเพื่อนๆของลูก กับครูประจำชั้น พบว่ามีเรื่องกังวลสองเรื่องที่ตรงกัน เรื่องแรกคือเด็กวัยรุ่นติดอินเตอร์เน็ต บางคนห้่าทุ่มยังไม่นอน เรื่องที่สองคือเด็กวัยรุ่น ทั้งชายทั้งหญิงไปคลั่งไคล้เฝ้าสนใจเรื่องดาราเกาหลีจนเกินไป

ในส่วนตัวผม ผมรู้สึกไม่พอใจอยู่ภายในอยู่มาก โดยเฉพาะเรื่องที่สอง แต่ก็พยายามรู้สึกตัวไม่ได้แสดงอะไรออกมากับลูก ผมคิดว่า เด็กวัยรุ่นที่มีสติปัญญาของไทยกำลังโดนมอมเมาโดยบริษัทสองสามบริษัท ที่จัดรายการต่างๆ หรือไปซื้อรายการต่างชาติที่มีการสร้างภาพลักษณ์ของดาราตัวเองมาเป็นอย่างดี มาจับตลาดวัยรุ่น ถามว่าบริษัทเหล่านั้นเขาผิดไหม ที่เขาพยายามทำหน้าที่หากำไรสูงสุดของเขา มองเฉพาะส่วนของเขาดูจะไม่ผิด แต่ว่ามันมากระเทือนผู้บริโภค ในระยะยาว จะมีผลต่อประเทศชาติ นั่นแหละผิด ประเทศชาติจะเป็นอย่างไร ถ้าประชาชนรุ่นใหม่ที่จะไปเป็นประชาชนระดับมันสมองของชาติ เป็นพวกผู้หลง ผู้ไม่รับผิดชอบ ผู้ฝักใฝ่แต่บันเทิงไปวันๆ ไม่รู้จักแบ่งเวลา ใช้เวลาไร้สาระ พ่อแม่ก็พูดไม่ฟัง

ผมได้แต่ปลง หวังว่ามันจะถึงวันที่วัยรุ่นเกิดรู้สึกมีสติ และเกิดเอียนเรื่องพวกนี้ขึ้นมาเอง และเลิกหลง กลับมาสู่ความเป็นจริงเสียที แต่คงจะยาก และรออีกนาน