Saturday, September 08, 2007

อนัตตา กับชีวิตที่ทันสมัย : mini book review

วันนี้ไปได้หนังสือธรรมมาสองเล่ม จากมหาจุฬาบรรณาคาร ข้างวัดมหาธาตุฯ แต่ผมจะพูดถึงแค่เล่มเดียว คือหนังสือเรื่อง "อนัตตา กับชีวิตที่ทันสมัย" ของ สิริวรุณ

ผมแอบรู้มาว่า สิริวรุณ คือนามปากกาของ อาจารย์ท่านหนี่งของผม ตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬา เมื่อสามสิบปีก่อนโน่น ต่อมาท่านได้ออกบวชเป็นแม่ชีแล้ว ดูเหมือนจะบวชมายี่สิบกว่าปีได้แล้วละมัง สิริวรุณ ท่านเขียนหนังสือมาหลายเล่ม (อ่านยากๆทั้งนั้นเลย) สำนวนเขียนท่านนั้นฟ้องผมเลย จำได้ว่าเป็นสไตล์ท่านอาจารย์ ไม่มีใครบอกโต้งๆ แต่อาศัยข้อมูลบริบทแวดล้อม สรุปได้ว่า เป็นท่านอาจารย์ผมเขียนแน่ๆ ท่านคือ อุบาสิกา ดร. ไพเราะ ทิพยทัศน์

เล่มนี้ก็อ่านแล้วดีครับ ผมว่าในบรรดาหนังสือของท่านทั้งหมดที่เขียนมา เล่มนี้ดูจะอ่านง่ายที่สุดแหละ และท่านผู้เขียนก็พูดไว้อย่างนั้นในคำนำเสียด้วย
แต่ท่านไม่ได้สอนอะไรลีกล้ำมากนักสำหรับนักเรียนอภิธรรมอย่างผม แต่น่าจะเหมาะสำหรับคนทั่วไป โดยเฉพาะใครเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ แต่ไม่มีความเข้าใจเรื่องทางพุทธมาก่อน หากอ่านแล้วน่าจะเข้าใจเรื่องอนัตตาได้ง่ายขึ้น ที่น่าสนใจสำหรับผมเป็นพิเศษก็ตอนท่านเล่าเร่ืองการเป็นวิทยากรอบรมฝรั่งที่ไปเข้าค่ายสมาธิที่สวนโมกข์สิบวัน อยู่หลายปี ผมว่าน่าสนใจคำถามต่างๆที่ฝรั่งถาม และที่ท่านตอบอธิบายไป

Sunday, September 02, 2007

สังเกตจิตวันนี้

เมื่อตามรู้จิตไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นว่า ทุกอย่างเกิดแล้วดับ และ ถ้ามีสติรู้ตัว ไม่ว่าจะเป็น มหากุศลจิตดวงที่ ๑ ที่ชื่อว่า

โสมมนสฺสสหคตํ ญาณสมฺปยฺุตฺตํ อสงฺขาริกํ จิตที่เกิดโดยไม่มีการชักชวน พร้อมด้วยความดีใจ ประกอบด้วยปัญญา

หรือ มหากุศลจิตดวงที่ ๕ ที่ชื่อว่า
อุเปกฺขาสหคตํ ญาณสมฺปยฺุตฺตํ อสงฺขาริกํ จิตที่เกิดโดยไม่มีการชักชวน พร้อมด้วยความเฉยๆ ประกอบด้วยปัญญา

หากว่าเป็นสองดวงนี้เกิดขี้นจริงๆ ไม่ใช่โลภมูลจิต ก็ได้เห็นจริงตามคำสอนของพระอาจารย์แล้วว่า ผู้รู้ที่เกิดในขณะนั้น ไม่มีความเป็นตัวกูของกูอยู่ในความรู้สึก

ระยะเดือนสองเดือนนี้ แม้งานหรือปัญหาต่างๆที่ประดังเข้ามา แต่ความเครียดไม่ค่อยจะมี ถ้ามีอะไรเข้ามา ก็เห็นว่า เป็นเพราะเหตุปัจจัย ก็แก้ไขกันไป อันนี้เป็นวิบาก รับกรรมไป มองเป็นเรื่องของเหตุและผล ไม่พยายามให้จิตเสวยอารมณ์ทุกข์นานนัก รู้แล้วก็ตัด รู้แล้วก็ตัด
เคยได้ฟังพระอาจารย์บอกว่า คนที่มีปฏิปทาแบบนี้ และมีศีลห้าบริบูรณ์ แม้ยังไม่ได้เป็นโสดาบันบุคคล ก็เรียกว่าเป็น จูฬโสดาฯ (ก็ จุลโสดาฯ นั้นแหละ) แต่ยังไม่เคยอ่านเจอคำนี้ในพระไตรปิฎก คำๆนี้ทำให้ใจมีมานะพองขึ้นบ่อยๆ

รู้ตัวว่าแก่แล้ว สัญญาคือความจำไม่ค่อยจะดี จำได้ว่าเคยพูดทำนองนี้มาแล้ว เช็คโพสต์เก่าดู ใช่จริงๆ ไม่เป็นไร วันนี้พูดเพราะสาเหตุคนละเรื่อง

กล่าวคือ วันนี้เห็นความแปรปรวนของอารมณ์ตนเองมาก ความตั้งใจที่เปลี่ยนไปในวันเดียว สถาณการณ์เปลี่ยนพลิกผัน คือตอนเช้าอยากไปเรียนอภิธรรม ตามปกติ พอตอนสายๆมากๆชักไม่อยากไป พอกลางวัน ออกไปแล้วเจอรถติดแบบวินาสสันตะโร และแถมรถเมล์มันเปิด เพลงและรายการอะไรก็ไม่รู้ รู้สีกหนวกหูมาก ทนแทบไม่ได้ จับลมหายใจก็แล้ว อากาศในรถเมล์แอร์ก็ิอีดอัดมาก รถก็ไม่ขยับเลย จิตรู้ความทุรนทุราย แต่ก็ไม่ตัดแล้ว สุดท้ายก็ไม่เอาแล้ว ลงรถกลางทาง จับรถแท็กซี่ดีกว่า ตอนแรกจะพยายามไปอีกทางหนี่ง แต่พอรู้ว่า รถติดหนักมากเพราะมีงานรับปริญญาที่สนามหลวง ก็เลยรู้สีกว่า กลับบ้านดีกว่า

วันนี้เห็น ทุกขัง และ อนิจจตา แยะจริงๆ