Saturday, July 12, 2008

วันนี้คุยเรื่องพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์

ไปเจอบล๊อก(ที่ใส่ลิงก์ไว้ข้างบน) เป็นของนักวิชาการท่านหนึ่งเขียนไว้ ผมตามไปอ่าน เป็นกรณีที่ท่านวิพากย์หนังสือเล่มหนึ่ง คือ หนังสือที่ชื่อว่า "ไอน์สไตน์พบ พระพระพุทธเจ้าเห็น" ท่านวิพากย์หนังสือเล่มนี้ บอกพอสรุปได้ว่าในส่วนการอ้างอิงทางวิทยาศาสตร์นั้นคลาดเคลื่อนมาก ผมอ่านวิจารณ์ของท่านแล้วก็เลยได้ความรู้สึกว่า หนังสือประเภทคาบเกี่ยวระหว่างพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์นี้ จะไม่ตรงใจนักวิทยาศาสตร์นัก เพราะฝึกมาให้เขียนเรื่องแบบเป๊ะๆ ผลการทดลองภายใต้เงื่อนไขอย่างใดต้องระบุให้ตรง ห้ามพูดกว้างๆ พูดเพี้ยนไปหน่อยไม่ได้เลย

ผมเองไม่ได้อ่านหนังสือเล่มดังกล่าว ที่เขาว่าขายดีมาก พิมพ์หลายสิบครั้ง แต่สงสัยว่าผมจะเคยพลิกๆดูอยู่นะแล้วก็ไม่ตรงจริตก็เลยไม่ซื้อ

อยากให้ความเห็นไว้ตรงนี้ไว้สั้นๆว่า ผมเคยอ่านหรือได้ฟังมาว่าพุทธศาสนามีวัตถุประสงค์เพื่อให้คนพ้นทุกข์ และโดยวิธีก็คือการละวาง ไม่ยึดถือ (เอากว้างๆละกันนะ ไม่อยากตรงตามปกรณ์เป๊ะ) แต่ผมเข้าใจเอาว่า วิทยาศาสตร์นั้น (ถ้ามองในแง่พุทธ) เป็นการสนองตัณหา ในที่นี้คือความกระหายอยากรู้ของนักวิทยาศาสตร์ และในการค้นหาความรู้เพื่อสนองความต้องการความรู้นั้น ก็มีขั้นตอน มีระเบียบวิธี และมีการถกเถียง สื่อสาร ส่วนเรื่องราวที่สื่อก็ต้องถือตามตัวอักษร ตามตรรกะ ตามหลักฐาน ตามเงื่อนไข ที่แน่นอน ดังนั้นพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์เป็นคนละเรื่อง การที่มีคนเอาสองเรื่องมาปนกันมันก็ต้องมีปัญหาอย่างนี้แหละ เพราะจากประสบการณ์ที่มีอยู่น้อยนิด ผมได้เห็นแล้วว่าทั้งพุทธศาสนาก็มีเรื่องที่ลึกล้ำมาก ถ้าใครไม่ได้เรียนอภิธรรม ก็คงถือไม่ได้ว่ารู้มากพอ ส่วนทางวิทยาศาสตร์นั้น ความรู้ทางฟิสิกส์ก็เปลี่ยนไปเร็วมาก คนนอกสาขาที่ไม่ได้ตามคงจะหมดสิทธิเขียนอธิบาย

ความจริงเรื่องการเขียนหนังสือวิชาการหรือกึ่งวิชาการเนี่ย คนที่รู้บ้างเล็กๆน้อยๆเนี่ยต้องระวัง ผมว่าคนพวกรู้งูๆปลาๆไม่ควรจะเขียน นี่ว่าโดยทั่วไปนะ ไม่ได้พูดกรณีเล่มนี้ ผมเคยอ่านเจอว่าครูบาอาจารย์รุ่นโบราณทางพุทธศาสนาท่านประพันธ์คาถาภาษาบาลีห้ามไว้เลยว่า ถ้ายังไม่ผ่านขั้นตอนอะไรมาบ้าง ห้ามแต่งปกรณ์ (มิฉะนั้นจะไปสอนคนอื่นผิด กลายเป็นบาปไปเสียอีก) คนเขียนหนังสือจึงต้องระวังให้มาก ไม่งั้นจะเขียนอะไรให้ความรู้สังคมผิดเพี้ยนไปได้ และคนอ่านก็ต้องใช้วิจารณญาณเหมือนกัน มีหนังสือบางเล่มผมซื้อมา พลิกอ่านคร่าวๆเสร็จผมก็โยนไปรวมกับเศษกระดาษเพื่อขายซาเล้งเลย เพราะผมว่าไร้สาระ ไม่ควรเก็บไว้ และไม่ควรจะจ่ายแจกคนอื่นอ่านต่อไปเสียอีกด้วย อย่างนี้ก็เคยมี

No comments: