Saturday, April 19, 2008

สิงคโปร์มุ่งเป็นมีเดียฮับของเอเชีย

เกาะเล็กๆไม่มีทรัพยากรธรรมชาติใดๆ แม้แต่น้ำดื่ม ตัวเกาะมีขนาดเล็กกว่ากรุงเทพเสียอีก แต่กลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของเอเซียประเทศหนึ่งได้ เพราะเขามีทรัพยากรมนุษย์ที่ดี เคยทราบว่า คนระดับชั้นนำของเขาที่เตรียมไว้ในแต่ละรุ่นนั้น มีไม่กี่ร้อยคน

บรรดานักธุรกิจไทยรู้กันดีว่า สิงคโปร์ชอบตั้งบริษัทเป็นยี่ปั๊วทางการค้าระหว่างประเทศให้กับบรรดาประเทศเอเซียทั้งหลาย เวลาแต่ละประเทศจะค้ากับฝรั่ง มีอะไรต้องไปผ่านยี่ปั๊วเขาหมด มาถึงตอนนี้ ตามข่าวที่ลิงก์ข้างบน ประเทศเกาะแห่งนี้ก็กำลังรุกเป็นมีเดียฮับของเอเซียอีก

ผมถามตัวเองว่า เมืองไทยตอนนี้มีนักการเมืองคนไหนที่มีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาประเทศระยะยาวและแสดงออกมาบ้างไหม นอกจากการมีวิสัยทัศน์ที่จะดูแลเรื่องเศรษฐกิจและผลประโยชน์ของตนและพวกพ้อง คำตอบในใจตอนนี้น่าหดหู่ใจ

4 comments:

ฐิตา said...

เคยอ่าน กฎแห่งสิงคโปร์ (Singapore Law)จาดหนังสือ As Future Catches You ซึ่งเขียนโดย Juan Enriquez ผู้อำนวยการโครงการวิทยาศาสตร์ชีวภาพ (Life Sciences Project) ของ Harvard Business School (ฉบับแปลค่ะ : จำชื่อไทยไม่ได้ /ภาษาอังกฤษไม่แข็งแรงแถมภาษาไทยยังอ่อนแออีก) มีบางส่วนเขียนเกี่ยวกับสิงคโปร์ว่าดังนี้ (ซึ่งประทัยใจมากๆ เลยคัดลอกไว้)..ว่า คุณไม่จำเป็นต้องมีทรัพยากรมาก ถึงจะร่ำรวยได้ หลาย ๆ ประเทศ มีเพียงพลเมืองอย่างเดียว หลาย ๆ ประเทศ มีขนาดเล็ก บางประเทศ แม้น้ำจะดื่ม ยังมีไม่พอ อาหาร แร่ธาตุ และเชื้อเพลิง ยิ่งมีน้อยกว่านั้นอีก บางประเทศไม่มีประวัติศาสตร์ หรือวัฒนธรรมร่วมกัน ซึ่งประเทศเหล่านี้มีทางเลือกแค่ 1 หรือ 2 อย่างเท่านั้น คือ จะยอมยากจนต่อไป หรือว่าจะให้การศึกษากับประชากรของตน ประเทศที่สามารถเดินตามแนวทางหลังได้ ย่อมสามารถสร้างเศรษฐกิจความรู้ได้สักวันหนึ่ง ...และตอนนี้ก็เป็นที่อยู่ของประชาชนที่ ร่ำรวยที่สุดในโลก

ฐิตา said...

ต่ออีกหน่อยนะ..
ปี 1950 สิงคโปร์ เป็นเกาะเล็กๆ ยากจน และโดดเดี่ยว ไม่ได้เป็นประเทศด้วยซ้ำ ก่อนปี 1965 อนาคตของประเทศนี้มืดมน จนผู้นำประเทศต้องไปหามาเลเซีย และขอไปรวมเป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซีย แต่ผู้นำของมาเลเซียมองว่า การรวมกับสิงคโปร์จะทำให้ประเทศยากจนลง จึงปฏิเสธคำขอดังกล่าว แม้กาน่า พม่า และศรีลังกา ก็ยังร่ำรวย และมีอนาคตดีกว่าสิงคโปร์ ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1965 หนังสือพิมพ์ ซิดนีย์ มอร์นิ่ง เฮอรัลด์ ฟันธงว่า : รัฐอิสระสิงคโปร์ ที่ดูจะไม่น่าอยู่รอดได้เลยเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา ตอนนี้ ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะอยู่รอดได้เหมือนเดิม

ฐิตา said...

(ต่อ)
สิงคโปร์ ภายใต้การนำของรัฐบุรุษ ลี กวน ยู หันกลับมาหาเทคโนโลยี และทุนนิยม ให้ความสำคัญกับการศึกษา และคนเก่ง เปลี่ยนมาใช้ภาษาอังกฤษในปี 1978 ปี 1985 ชาวสิงคโปร์ มีรายได้ 8,116 ดอลลาร์ ต่อคน ในขณะที่นายเก่าอย่างอังกฤษ ทำได้ 11,237 ดอลลาร์ และปี 1999 ชาวสิงคโปร์รวยกว่าชาวอังกฤษ 2 เปอร์เซ็นต์
สิงคโปร์ ประเทศที่ไม่มีเพลงชาติก่อนปลายทศวรรษ 1960 และในชั่วอายุคนรุ่นเดียว ก็ร้องเพลงชาติมาแล้ว 3 ชาติ ก็อด เซฟ เดอะ ควีน” ของอังกฤษ คิมิกาโย่” ของญี่ปุ่น และเนการา กู” ของมาเลเซีย ก่อนที่จะมาร้องเพลงชาติของตัวเอง

..น่าทึ่งมากๆเลยค่ะ หันกลับมามองเมืองไทยบ้าง เมื่อวานก็ยังทะเลาะกันอยู่ และร่ำๆอีกว่า จะมีรัฐประหาร แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เวียตนาม และต่อไปก็คงลาว เขมร.. แซงหน้าได้อย่างไร

Burachai Sonthayanon said...

ขอบคุณครับที่มาเสริมข้อมูล ผมเองไม่ได้มีเวลาค้นอะไรใหม่ๆนักเวลาเขียนบล๊อก ส่วนมากขุดมาจากเม็มโมรี่เก่าๆในสมอง และก็บ่นไปตามเรื่องให้เพื่อนๆอ่าน