Sunday, April 20, 2008

รูปแบบของวิทยานิพนธ์สมัยนี้ บางที่ก็ยุ่งยาก

ในเวลาช่วงนี้ นักศึกษาบัณฑิตวิทยาลัยหลายๆคนกำลังแก้วิทยานิพนธ์กันอย่างเร่งรีบ ในมุมมองของอาจารย์ ส่วนที่เขาสนใจอย่างเดียวก็คือเนื้อหา และในฐานะนักศึกษาก็คงจะเป็นการแก้เนื้อหาให้เป็นที่พอใจของคณะอาจารย์ผู้ตรวจวิทยานิพนธ์ นี่เป็นภาระหนักพอสมควร ยิ่งหากใครบางคนต้องไปรื้อการวิเคราะห์เดต้าทางสถิติใหม่หมด ก็คงจะทำงานกันอดหลับอดนอนเป็นแน่ เพียงแค่แก้เนื้อหาเท่านั้น

อย่างไรก็ดี นักศึกษาก็กลับต้องมีภาระหนักเพิ่มขึ้น เมื่อก่อนจะส่งวิทยานิพนธ์ให้บัณฑิตวิทยาลัย จะต้องมีการฟอร์แม็ตหน้าแต่ละหน้าของวิทยานิพนธ์ ให้เป็นไปในรูปแบบที่บัณฑิตวิทยาลัยแต่ละมหาวิทยาลัยต้องการ บางแห่งก็อาจจะเรื่องมาก และมีเจ้าหน้าที่จู้จี้มาก บางแห่งก็อาจจะเรื่องน้อย (ก็เป็นกรรมของนักศึกษาไป) ซึ่งเรื่องพวกนี้ไปใช่เป็นเรื่องทางวิชาการแต่อย่างใด แต่เป็นงานประเภทที่ผมว่าน่าจะให้้เด็กจบ ปวช. มาทำให้น่าจะดีกว่า ผมคิดว่าคนคิดฟอร์แม็ตที่ยุ่งยาก หางานให้เด็กทำเปล่าๆ โดยเข้าทำนอง คนคิดไม่ได้ต้องเป็นคนทำ คนทำไม่ได้เป็นคนต้นคิด (อาจารย์คนไหนในอดีตเป็นต้นคิด คงหาได้คิดไม่ว่าตนเองทำกรรมเอาไว้แยะ)

ผมเองถ้ากลับไปเป็นนักศึกษาพิมพ์ธีสิสตอนนี้ ผมก็คงจะไปจ้างพวกเลขาฟอร์แม๊ตข้อมูลให้ ในความเห็นของผม ในอุดมคตินั้นคนเขียนวิทยานิพนธ์ไม่ควรจะต้องใช้ word processor program ด้วยซ้ำ ควรใช้แค่ text editor แค่นั้นก็พอ การที่ใช้โปรแกรมพวก word processor นั้น นอกจากโปรแกรมที่ถูกกฎหมายจะมีราคาแพงมหากาฬแล้ว ผมยังคิดว่าโปรแกรมนั้นมันใช้ยากกว่าที่จำเป็น และเป็นโปรแกรมที่เทอะทะมาก เหมือนอย่างกะขับรถสิบล้อไปจ่ายกับข้าวยังไงยังงั้น (สมัยเขียนวิทยานิพนธ์ ผมใช้แค่ Wordstar บน DOS 2.11 บนเครื่องคอมพิวเตอร์ ๘ บิท เท่านั้น) จะบอกความลับให้ก็ได้ ผมไม่ได้ใช้ Word มานานแล้ว จนแทบจะฟอร์แม็ตอะไรที่ยุ่งยากไม่เป็นแล้ว เพราะใช้แต่โปรแกรมพวกโอเพ่นซอร์ส การที่บางแห่งมีการบังคับให้วิทยานิพธ์มีฟอร์แม๊ตหน้ากระดาษที่ยุ่งยาก เหมือนจงใจบังคับซื้อซอฟต์แวร์ยังไงยังงั้น และเป็นการยืดอายุโปรแกรมที่ฝรั่งเขาเรียกว่า bloatware ออกไป พวกนี้มันควรจะตกยุุคไปตั้งนานแล้ว ความจริงเราในฐานะนักวิชาการควรจะหาทางหลุดพันธนาการจากบริษัทซอฟต์แวร์บางบริษัทนั่น โดยเฉพาะถ้าเรารู้ตัวว่าเราอยู่ในประเทศด้อยพัฒนา ที่ต้องซื้อซอฟต์แวร์เขา

ก็บ่นไปงั้นแหละ คนส่วนมากคงคิดไม่เหมือนผม ช่วยไม่ได้ ผมมันเป็น นักตระเวณเว็บ ดังนั้นจึงหูตากว้างกว่าคนทั่วไป (หึ หึ ยกหางตัวเองจนได้ แต่เป็นเรื่องจริง)

No comments: