Wednesday, April 22, 2009

ไปนอนวัดป่ามา (3)



ในป่ามืดเร็วมาก ไปไหนต้องมีไฟฉายติดมือไปด้วย หลังทุ่มหนึ่งจะมองทางไม่ค่อยเห็น หลังสองทุ่มจะมืดสนิทถ้าไม่มีพระจันทร์ ผมไปนอนคนเดียวในป่าที่มืดตึ๊ดตื่อ (ก่อนหน้านั้น ที่เคยไปวัดหลวงพ่อจรัลเมื่อสิบปีก่อนราวสามครั้งก็เป็นวัดบ้าน และคนเจ็ดร้อยคนไปปฏิบัติธรรมแน่นไปหมดที่สิงห์บุรีจึงไม่เงียบเหงานัก) แต่ที่ป่าในวัดที่นาจะหลวยนี้ก็ไม่น่ากลัวเพราะอยู่ในรั้วอิฐบล๊อกรอบวัด ที่มีบริเวณราวสองสามร้อยไร่ ถ้าจะกลัวก็อาจจะแต่อมนุษย์ หรืองู หรือยุงกัด มากกว่า

ไปอยู่กุฏิก็จับลมหายใจ ทำอาณาปานสติไปเรื่อยๆ พร้อมกับดูจิต

ตั้งแต่เย็นๆแล้ว มีเสียงแปลกๆที่ไม่เคยได้ยินในเมือง พวกจักจั่นเริ่มส่งเสียง พอหกโมงเย็นก็มี แมลงบ้าอะไรก็ไม่รู้เสียงเสียดสีปีกมันแหลมมากอย่างกับเสียงแตร เป่าโน้ตเสียงสูงมาก และ ลากเสียงยาวกว่าหวูดรถไฟอีก ฟังเหมือนมันมาเป่าอยู่ใกล้ๆตัวเรานี่เอง บางช่วงก็นึกด่าแมลงว่า มันก็มีตัณหาเหมือนคนแฮะ ขยับปีกทำเสียงเรียกหาคู่เป็นนาน พอเจอกันแล้ว ค่ำๆหน่อย ผสมพันธุ์เสร็จก็เงียบกริบ ป่าก็เงียบลง เสียงนกก็ค่อยๆเงียบลง

ตกดึก บางทีได้ยินเสียงคล้ายคนเดินบนใบไม้แห้งดังกรอบแกรบ ตัวสัตว์นั่นเอง แต่จิตเราก็หวาดระแวง บางทีก็เสียงเคาะบนหลังคา คงเป็นพวกสัตว์เคาะไล่ตัวแมลงออกมาจะได้กิน อีกทีก็แมลงตัวใหญ่บินมากระแทกหน้าต่าง เสียงเหมือนคนมาเคาะหน้าต่างหรือหลังคา บางขณะรู้สึกกลัวจนขนลุก แต่ก็มีสติอยู่พอควร โดยรวมแล้วจิตก็ระแวดระวังอยู่เกือบตลอดเวลา แต่เรื่องฟุ้งซ่านก็บ่อยมาก แต่ก็เห็นว่าฟุ้งซ่าน นอนจับลมหายใจไปเรื่อยๆ พอตีสองก็ลุก ตื่นตีสองทุกวัน มันตื่นเอง ไม่อยากนอกต่อ มานั่งสมาธิ และสลับจงกรม

อยู่คนเดียวในป่า รู้สีกว่า คนเรามีอะไรที่เกินต้องการสำหรับการดำรงชีวิตไปมาก แรกเริ่มเลย กลางคืนคนส่วนมากก็เอาแสงไฟเป็นเพื่อน ถ้าไม่มีแสงไฟจะรู้สึกกลัวว่าจะมีภัย กลัวสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตา ถ้าไม่มีแสงไฟตอนกลางคืน คนเราก็ไม่ตาย ดังนั้นแสงไฟจึงไม่ใช่ของจำเป็นในชีวิต แต่ก็ต้องมีไฟฉายไม่งั้นหาของไม่เจอ หรือไม่ก็อาจจะสะดุดของล้มลง

ตอนหัวค่ำมืดสนิท ต้องใช้ไฟฉาย ตอนหลังตีสามไปแล้วจะเริ่มสว่างขึ้นเล็กน้อยเมื่อพระจันทร์ขึ้น และสว่างมากขึ้นจนถึงตีห้า ไก่บางตัวขันตั้งแต่ตีสาม ต่อมาก็ราวตีสี่ ตีห้า พอตีห้าครึ่งพวกนกก็เริ่มตื่น ส่งเสียงเจึ๊ยวจ๊าวกัน ต่อมาก่อนรุ่งพวกจักจั่นก็ส่งเสียงระงมกันอีกรอบหนึ่ง

เห็นวงจรของแสงสว่างค่อยๆมืดลง และจากมืดมิด ค่อยๆสว่างขึ้น ทำให้เห็นว่า โลกก็เป็นอย่างนี้ มีทุกข์แล้วก็สุขสลับกันไป

No comments: