วันนี้อ่านข่าวเจอจากเว็บมติชน ตามลิงก์ข้างบน มีคนเมืองกาญจน์บางคน ออกมาประท้วงและจะยื่นฟ้องผู้ที่ออกมาเตือนด้วยความหวังดีเรื่องแผ่นดินไหวอาจจะทำให้เขื่อนแตกและน้ำท่วมผู้คนเสียชีวิตจำนวนมาก (และความจริงเขาเตือนเรื่องน้ำท่วมกรุงเทพฯที่เกิดจากโลกร้อนด้วย) ผมอ่านแล้วรู้สึกสลดใจ กับพวกที่มีโทสะโมหะมากเกินไป คนเขาหวังดีออกมาเตือนก็ไม่เชื่อ กลับไปโกรธเขา มัวเมาไม่ยอมตื่นขึ้นมารับความจริงที่มันมีอยู่ สถิติแผ่นดินไหวช่วงนี้บ่อยกว่าเดิมมาก ในพม่าก็เกิดบ่อย อย่างราวสองอาทิตย์ที่ผ่านมาก็มีเกิดแผ่นดินไหวไม่ไกลจากเมืองมะริดเท่าไร ดูเหมือนจะระดับ ๖ ริกเตอร์ คนส่วนมากไม่ได้ติดตาม ตอนผมเห็นข่าวที่ท่านออกมาเตือนผมก็รู้สึกว่าดีมาก ท่านคงเห็นอันตรายคืบคลานเข้ามา ท่านถึงเปลืองตัวออกมาเตือนสังคม แต่ผมก็เชื่อว่า รัฐบาลนี้คงไม่ทำอะไร และเห็นว่าหน่วยงานรัฐต่างๆก็คงไม่ทำอะไร กลไกภาครัฐมันมีเฟืองจักรกลแยะ และส่วนมากมีแนวโน้มที่จะไม่ขยับไม่หมุน เปรียบเหมือนนาฬิกาที่เครื่องขึ้นสนิม การที่ท่านออกมาเตือนเนี่ยคล้ายๆกับพยายามเคาะสนิม หวังว่าเฟืองกลไกต่างๆของรัฐมันจะกลับมาเดิน ผมเชื่อว่าคงต้องออกมาเคาะอีกหลายรอบ แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จึงจะเดิน
แต่ถามว่าแล้วการออกมาเตือนสังคมไปกระทบธุรกิจคนที่เมืองกาญจน์เขาไหม ผมคิดๆดูก็คงกระทบเหมือนกันนั่นแหละ อย่างผมถามตัวเองว่า อยากไปเมืองกาญจน์ไหมช่วงนี้ ก็ตอบว่า ไม่อยากไป แต่ส่วนหนึ่งก็เพราะเคยไปมาแล้วเมื่อไม่กี่ปีมานี้ และตอนนี้ไม่มีธุระอะไร แต่ถ้ามีธุระก็คงไป อย่่างไรก็น่าจะมีคนที่ไม่เชื่ออีกมากที่จะไป ก็ถัวๆกันไป การเตือนสังคมเรื่องความเสี่ยงเป็นสิ่งที่ดี คนที่รู้จะได้ระวัง หากทางแก้ไข แต่ก็ต้องมีสติไม่ไปตระหนกมากเกินเหตุ เมืองไทยดูเหมือนจะมีอะไรอีกหลายอย่าง ที่หน่วยงานต่างๆของรัฐไม่ยอมออกมาให้ข้อมูลกับประชาชนตามความเป็นจริง ผมมองว่าผู้บริหารองค์กรต่างๆของรัฐเขาเห็นแก่ตัว คนในหน่วยงานต่างๆเขาคงเห็นว่าเหตุการณ์ไม่รู้ว่าจะเกิดเมื่อไร ออกมาเตือนไม่ดีกับตัวเอง พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง แต่มันจะทำให้ผลกระทบเลวร้ายหากถึงเวลาเกิดขึ้น เพราะไม่มีมาตราการป้องกันเพียงพอ อย่างกรณีสึนามิมีการเตือนล่วงหน้าหลายปีแต่คนก็ไม่เชื่อไม่ทำอะไรป้องกัน
เมื่อวานตอนค่ำนั่งรถกลับกรุงเทพฯ ตอนผ่านราชบุรี โพธาราม บ้านโป่ง ก็นึกถึงเรื่องน้ำท่วมนี้อยู่เหมือนกัน
No comments:
Post a Comment