ปกิณกะ ไทย I posted about interesting items information I found, write my views on books I read, education, science and technology, Buddhism and meditation, economic and business, music, and movies, country and rural development. Articles are in English or Thai.
Tuesday, April 22, 2008
วิกิพีเดีย บางทีก็เชื่อไม่ได้
จริงๆแล้ว โดยหลักการก็เป็นที่รู้กันอยู่แล้ว แต่บทความในข่าวข้างต้น แสดงให้เห็นอีกมุมหนี่งว่า บรรณาธิการบทความของวิกิพีเดีย บางคนก็มีมุมมองที่ไบแอสก็มีเหมือนกัน
Sunday, April 20, 2008
รูปแบบของวิทยานิพนธ์สมัยนี้ บางที่ก็ยุ่งยาก
ในเวลาช่วงนี้ นักศึกษาบัณฑิตวิทยาลัยหลายๆคนกำลังแก้วิทยานิพนธ์กันอย่างเร่งรีบ ในมุมมองของอาจารย์ ส่วนที่เขาสนใจอย่างเดียวก็คือเนื้อหา และในฐานะนักศึกษาก็คงจะเป็นการแก้เนื้อหาให้เป็นที่พอใจของคณะอาจารย์ผู้ตรวจวิทยานิพนธ์ นี่เป็นภาระหนักพอสมควร ยิ่งหากใครบางคนต้องไปรื้อการวิเคราะห์เดต้าทางสถิติใหม่หมด ก็คงจะทำงานกันอดหลับอดนอนเป็นแน่ เพียงแค่แก้เนื้อหาเท่านั้น
อย่างไรก็ดี นักศึกษาก็กลับต้องมีภาระหนักเพิ่มขึ้น เมื่อก่อนจะส่งวิทยานิพนธ์ให้บัณฑิตวิทยาลัย จะต้องมีการฟอร์แม็ตหน้าแต่ละหน้าของวิทยานิพนธ์ ให้เป็นไปในรูปแบบที่บัณฑิตวิทยาลัยแต่ละมหาวิทยาลัยต้องการ บางแห่งก็อาจจะเรื่องมาก และมีเจ้าหน้าที่จู้จี้มาก บางแห่งก็อาจจะเรื่องน้อย (ก็เป็นกรรมของนักศึกษาไป) ซึ่งเรื่องพวกนี้ไปใช่เป็นเรื่องทางวิชาการแต่อย่างใด แต่เป็นงานประเภทที่ผมว่าน่าจะให้้เด็กจบ ปวช. มาทำให้น่าจะดีกว่า ผมคิดว่าคนคิดฟอร์แม็ตที่ยุ่งยาก หางานให้เด็กทำเปล่าๆ โดยเข้าทำนอง คนคิดไม่ได้ต้องเป็นคนทำ คนทำไม่ได้เป็นคนต้นคิด (อาจารย์คนไหนในอดีตเป็นต้นคิด คงหาได้คิดไม่ว่าตนเองทำกรรมเอาไว้แยะ)
ผมเองถ้ากลับไปเป็นนักศึกษาพิมพ์ธีสิสตอนนี้ ผมก็คงจะไปจ้างพวกเลขาฟอร์แม๊ตข้อมูลให้ ในความเห็นของผม ในอุดมคตินั้นคนเขียนวิทยานิพนธ์ไม่ควรจะต้องใช้ word processor program ด้วยซ้ำ ควรใช้แค่ text editor แค่นั้นก็พอ การที่ใช้โปรแกรมพวก word processor นั้น นอกจากโปรแกรมที่ถูกกฎหมายจะมีราคาแพงมหากาฬแล้ว ผมยังคิดว่าโปรแกรมนั้นมันใช้ยากกว่าที่จำเป็น และเป็นโปรแกรมที่เทอะทะมาก เหมือนอย่างกะขับรถสิบล้อไปจ่ายกับข้าวยังไงยังงั้น (สมัยเขียนวิทยานิพนธ์ ผมใช้แค่ Wordstar บน DOS 2.11 บนเครื่องคอมพิวเตอร์ ๘ บิท เท่านั้น) จะบอกความลับให้ก็ได้ ผมไม่ได้ใช้ Word มานานแล้ว จนแทบจะฟอร์แม็ตอะไรที่ยุ่งยากไม่เป็นแล้ว เพราะใช้แต่โปรแกรมพวกโอเพ่นซอร์ส การที่บางแห่งมีการบังคับให้วิทยานิพธ์มีฟอร์แม๊ตหน้ากระดาษที่ยุ่งยาก เหมือนจงใจบังคับซื้อซอฟต์แวร์ยังไงยังงั้น และเป็นการยืดอายุโปรแกรมที่ฝรั่งเขาเรียกว่า bloatware ออกไป พวกนี้มันควรจะตกยุุคไปตั้งนานแล้ว ความจริงเราในฐานะนักวิชาการควรจะหาทางหลุดพันธนาการจากบริษัทซอฟต์แวร์บางบริษัทนั่น โดยเฉพาะถ้าเรารู้ตัวว่าเราอยู่ในประเทศด้อยพัฒนา ที่ต้องซื้อซอฟต์แวร์เขา
ก็บ่นไปงั้นแหละ คนส่วนมากคงคิดไม่เหมือนผม ช่วยไม่ได้ ผมมันเป็น นักตระเวณเว็บ ดังนั้นจึงหูตากว้างกว่าคนทั่วไป (หึ หึ ยกหางตัวเองจนได้ แต่เป็นเรื่องจริง)
อย่างไรก็ดี นักศึกษาก็กลับต้องมีภาระหนักเพิ่มขึ้น เมื่อก่อนจะส่งวิทยานิพนธ์ให้บัณฑิตวิทยาลัย จะต้องมีการฟอร์แม็ตหน้าแต่ละหน้าของวิทยานิพนธ์ ให้เป็นไปในรูปแบบที่บัณฑิตวิทยาลัยแต่ละมหาวิทยาลัยต้องการ บางแห่งก็อาจจะเรื่องมาก และมีเจ้าหน้าที่จู้จี้มาก บางแห่งก็อาจจะเรื่องน้อย (ก็เป็นกรรมของนักศึกษาไป) ซึ่งเรื่องพวกนี้ไปใช่เป็นเรื่องทางวิชาการแต่อย่างใด แต่เป็นงานประเภทที่ผมว่าน่าจะให้้เด็กจบ ปวช. มาทำให้น่าจะดีกว่า ผมคิดว่าคนคิดฟอร์แม็ตที่ยุ่งยาก หางานให้เด็กทำเปล่าๆ โดยเข้าทำนอง คนคิดไม่ได้ต้องเป็นคนทำ คนทำไม่ได้เป็นคนต้นคิด (อาจารย์คนไหนในอดีตเป็นต้นคิด คงหาได้คิดไม่ว่าตนเองทำกรรมเอาไว้แยะ)
ผมเองถ้ากลับไปเป็นนักศึกษาพิมพ์ธีสิสตอนนี้ ผมก็คงจะไปจ้างพวกเลขาฟอร์แม๊ตข้อมูลให้ ในความเห็นของผม ในอุดมคตินั้นคนเขียนวิทยานิพนธ์ไม่ควรจะต้องใช้ word processor program ด้วยซ้ำ ควรใช้แค่ text editor แค่นั้นก็พอ การที่ใช้โปรแกรมพวก word processor นั้น นอกจากโปรแกรมที่ถูกกฎหมายจะมีราคาแพงมหากาฬแล้ว ผมยังคิดว่าโปรแกรมนั้นมันใช้ยากกว่าที่จำเป็น และเป็นโปรแกรมที่เทอะทะมาก เหมือนอย่างกะขับรถสิบล้อไปจ่ายกับข้าวยังไงยังงั้น (สมัยเขียนวิทยานิพนธ์ ผมใช้แค่ Wordstar บน DOS 2.11 บนเครื่องคอมพิวเตอร์ ๘ บิท เท่านั้น) จะบอกความลับให้ก็ได้ ผมไม่ได้ใช้ Word มานานแล้ว จนแทบจะฟอร์แม็ตอะไรที่ยุ่งยากไม่เป็นแล้ว เพราะใช้แต่โปรแกรมพวกโอเพ่นซอร์ส การที่บางแห่งมีการบังคับให้วิทยานิพธ์มีฟอร์แม๊ตหน้ากระดาษที่ยุ่งยาก เหมือนจงใจบังคับซื้อซอฟต์แวร์ยังไงยังงั้น และเป็นการยืดอายุโปรแกรมที่ฝรั่งเขาเรียกว่า bloatware ออกไป พวกนี้มันควรจะตกยุุคไปตั้งนานแล้ว ความจริงเราในฐานะนักวิชาการควรจะหาทางหลุดพันธนาการจากบริษัทซอฟต์แวร์บางบริษัทนั่น โดยเฉพาะถ้าเรารู้ตัวว่าเราอยู่ในประเทศด้อยพัฒนา ที่ต้องซื้อซอฟต์แวร์เขา
ก็บ่นไปงั้นแหละ คนส่วนมากคงคิดไม่เหมือนผม ช่วยไม่ได้ ผมมันเป็น นักตระเวณเว็บ ดังนั้นจึงหูตากว้างกว่าคนทั่วไป (หึ หึ ยกหางตัวเองจนได้ แต่เป็นเรื่องจริง)
เพลงที่ประทับใจ ทำให้ระลึกถึงแม่
คนแต่ละคนคงมีเพลงที่ตนเองชอบ ที่มักจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา และบางส่วนก็อาจจะแปรไปตามกระแสความนิยม แต่คงมีไม่กี่คนที่มีเพลงที่ตนเองประทับใจ และยิ่งน้อยคนที่รู้สึกตัวว่ามีเพลงประทับใจอยู่
ผมเพิ่งรู้มาไม่นานว่า ผมมีเพลงที่ประทับอยู่ในใจผม แต่ลืมไปนานแล้วสี่สิบกว่าปีเห็นจะได้ เพราะไปฟังเพลงจากไอพ๊อด ที่โหลดไว้จากซีดีที่ซื้อมา เพลงนี้เป็นเพลงคลาสสิค ชื่อ Traumeria (Dreaming) ของ Schumann เป็นเพลงที่ฟังง่ายๆ เพราะดี ฟังแล้วก็คิดถึงแม่ เพราะตอนเด็กๆ ที่หััวเตียงของแม่จะมีนาฬิกาปลุกตัวหนึ่ง ที่แม่ซื้อมาจากญี่ปุ่น ปลุกด้วยเพลงนี้ และผมชอบไปบิดลานเล่นเพื่อฟังเพลงนี้บ่อยๆ เมื่อไปนอนเล่นที่เตียงแม่ หรือเมื่อเป็นไข้ไม่สบาย แม่ก็จะพาไปนอนด้วย คอยเช็ดตัวให้เพื่อลดอาการตัวร้อน ตอนนี้ไม่รู้ว่านาฬิกาตัวนี้หายไปไหนแล้ว เพราะพ่อแม่ก็ไม่อยู่ให้ถามเสียแล้ว ก็สันนิษฐานว่าคงเสียหายพังไปตามกาลเวลา เป็นเรื่องปรกติวิสัย
เคยอ่านเจอมาว่า คนเรานั้น เมื่อพ่อแม่ยังอยู่ก็ไม่รู้หรอกว่าพ่อแม่รักแค่ไหน ต้องไม่อยู่แล้วนั่นแหละ จะเสียดายโอกาสที่จะได้ตอบแทนพระคุณ ผมเห็นด้วยว่าจริง และจากประสบการณ์ตนเอง เมื่อมามีลูกแล้วนั่นละ จะซึ้งและเข้าใจ จำได้ว่าตอนผมนั่งซักผ้าให้ลูกด้วยมือ ได้รู้สึกสะกิดใจว่า ตอนเป็นเด็ก แม่ก็ทำอย่างนี้มาให้ลูกเป็นประจำทุกวันๆ ด้วยความรักลูก แต่ตอนนั้นเราไม่ได้นึกถึง พอนึกแล้วก็เสียดายว่า แต่ก่อนท่านยังอยู่เราก็ไม่ตระหนักในเรื่องนี้
เมื่อเช้าวันนี้ ผมตื่นไปใส่บาตรให้แม่และพ่อ เนื่องในโอกาสคล้ายวันเกิดของแม่ ซึ่งเป็นการกระทำอย่างหนี่งที่คนไทยเชื่อกันและปฏิบัติมาด้วยดี แล้วก็มาโพสต์บล๊อกนี้ จากนั้นก็จะไปกรวดน้ำและนั่งสมาธิต่อ ก่อนไปทำหน้าที่ของพ่อ รับส่งลูกไปเรียนพิเศษในวันเสาร์อาทิตย์ต่อไป
ผมเพิ่งรู้มาไม่นานว่า ผมมีเพลงที่ประทับอยู่ในใจผม แต่ลืมไปนานแล้วสี่สิบกว่าปีเห็นจะได้ เพราะไปฟังเพลงจากไอพ๊อด ที่โหลดไว้จากซีดีที่ซื้อมา เพลงนี้เป็นเพลงคลาสสิค ชื่อ Traumeria (Dreaming) ของ Schumann เป็นเพลงที่ฟังง่ายๆ เพราะดี ฟังแล้วก็คิดถึงแม่ เพราะตอนเด็กๆ ที่หััวเตียงของแม่จะมีนาฬิกาปลุกตัวหนึ่ง ที่แม่ซื้อมาจากญี่ปุ่น ปลุกด้วยเพลงนี้ และผมชอบไปบิดลานเล่นเพื่อฟังเพลงนี้บ่อยๆ เมื่อไปนอนเล่นที่เตียงแม่ หรือเมื่อเป็นไข้ไม่สบาย แม่ก็จะพาไปนอนด้วย คอยเช็ดตัวให้เพื่อลดอาการตัวร้อน ตอนนี้ไม่รู้ว่านาฬิกาตัวนี้หายไปไหนแล้ว เพราะพ่อแม่ก็ไม่อยู่ให้ถามเสียแล้ว ก็สันนิษฐานว่าคงเสียหายพังไปตามกาลเวลา เป็นเรื่องปรกติวิสัย
เคยอ่านเจอมาว่า คนเรานั้น เมื่อพ่อแม่ยังอยู่ก็ไม่รู้หรอกว่าพ่อแม่รักแค่ไหน ต้องไม่อยู่แล้วนั่นแหละ จะเสียดายโอกาสที่จะได้ตอบแทนพระคุณ ผมเห็นด้วยว่าจริง และจากประสบการณ์ตนเอง เมื่อมามีลูกแล้วนั่นละ จะซึ้งและเข้าใจ จำได้ว่าตอนผมนั่งซักผ้าให้ลูกด้วยมือ ได้รู้สึกสะกิดใจว่า ตอนเป็นเด็ก แม่ก็ทำอย่างนี้มาให้ลูกเป็นประจำทุกวันๆ ด้วยความรักลูก แต่ตอนนั้นเราไม่ได้นึกถึง พอนึกแล้วก็เสียดายว่า แต่ก่อนท่านยังอยู่เราก็ไม่ตระหนักในเรื่องนี้
เมื่อเช้าวันนี้ ผมตื่นไปใส่บาตรให้แม่และพ่อ เนื่องในโอกาสคล้ายวันเกิดของแม่ ซึ่งเป็นการกระทำอย่างหนี่งที่คนไทยเชื่อกันและปฏิบัติมาด้วยดี แล้วก็มาโพสต์บล๊อกนี้ จากนั้นก็จะไปกรวดน้ำและนั่งสมาธิต่อ ก่อนไปทำหน้าที่ของพ่อ รับส่งลูกไปเรียนพิเศษในวันเสาร์อาทิตย์ต่อไป
Saturday, April 19, 2008
สิงคโปร์มุ่งเป็นมีเดียฮับของเอเชีย
เกาะเล็กๆไม่มีทรัพยากรธรรมชาติใดๆ แม้แต่น้ำดื่ม ตัวเกาะมีขนาดเล็กกว่ากรุงเทพเสียอีก แต่กลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของเอเซียประเทศหนึ่งได้ เพราะเขามีทรัพยากรมนุษย์ที่ดี เคยทราบว่า คนระดับชั้นนำของเขาที่เตรียมไว้ในแต่ละรุ่นนั้น มีไม่กี่ร้อยคน
บรรดานักธุรกิจไทยรู้กันดีว่า สิงคโปร์ชอบตั้งบริษัทเป็นยี่ปั๊วทางการค้าระหว่างประเทศให้กับบรรดาประเทศเอเซียทั้งหลาย เวลาแต่ละประเทศจะค้ากับฝรั่ง มีอะไรต้องไปผ่านยี่ปั๊วเขาหมด มาถึงตอนนี้ ตามข่าวที่ลิงก์ข้างบน ประเทศเกาะแห่งนี้ก็กำลังรุกเป็นมีเดียฮับของเอเซียอีก
ผมถามตัวเองว่า เมืองไทยตอนนี้มีนักการเมืองคนไหนที่มีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาประเทศระยะยาวและแสดงออกมาบ้างไหม นอกจากการมีวิสัยทัศน์ที่จะดูแลเรื่องเศรษฐกิจและผลประโยชน์ของตนและพวกพ้อง คำตอบในใจตอนนี้น่าหดหู่ใจ
บรรดานักธุรกิจไทยรู้กันดีว่า สิงคโปร์ชอบตั้งบริษัทเป็นยี่ปั๊วทางการค้าระหว่างประเทศให้กับบรรดาประเทศเอเซียทั้งหลาย เวลาแต่ละประเทศจะค้ากับฝรั่ง มีอะไรต้องไปผ่านยี่ปั๊วเขาหมด มาถึงตอนนี้ ตามข่าวที่ลิงก์ข้างบน ประเทศเกาะแห่งนี้ก็กำลังรุกเป็นมีเดียฮับของเอเซียอีก
ผมถามตัวเองว่า เมืองไทยตอนนี้มีนักการเมืองคนไหนที่มีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาประเทศระยะยาวและแสดงออกมาบ้างไหม นอกจากการมีวิสัยทัศน์ที่จะดูแลเรื่องเศรษฐกิจและผลประโยชน์ของตนและพวกพ้อง คำตอบในใจตอนนี้น่าหดหู่ใจ
Thursday, April 17, 2008
สงกรานต์พิเศษ
วันหยุดสงกรานต์ที่ผ่านมา ไม่ได้ไปต่างจังหวัดที่ไหน อยู่กรุงเทพฯนี่เอง ทำความสะอาดโต๊ะหมู่บูชาพระ สรงน้ำพระพุทธรูปประจำบ้าน และสรงน้ำโกฏบรรจุอัฏฐิบรรพบุรุษ จากนั้นก็ออกไปรดน้ำผู้ใหญ่แค่บ้านเดียว บ้านอื่นๆตัดหมด เพราะรู้สึกมีภาระอะไรในบ้านต้องทำต้องเคลียร์แยะ จนรู้สึกเหนื่อยใจ ก็คิดว่าวันหยุดยาวดูจะหมดกิจกรรมแค่นั้น
แต่เปล่า ก็ยังได้มีโอกาสไปกราบครูบาอาจารย์สายวัดป่า จากอุบลฯ และตามไปกราบสมเด็จพระสังฆราชด้วย ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ไม่คาดฝันจริงๆที่ได้เข้าเฝ้า ได้ทราบว่าท่านจะมีพระชนม์ ๙๖ พรรษาเร็วๆนีี้ ท่านดูแก่มากก็จริง แต่ดูแล้วพระพักตร์ท่านทรงสติมั่น รู้องค์อยู่ เคยอ่านเจอและเข้าใจเอาว่า ท่านเจริญโพชฌงค์ เป็นประจำ
ได้ไปนั่งแถวหน้าแทบจะตรงพระพักตร์ท่านเลย ใกล้มาก (แต่นั่งหลังแถวพระภิกษุ) เวลาท่านออกมาใจก็รู้สึกมีปีติมาก และก็ไม่เพียงเท่านั้น ยังได้มีโอกาสไปสรงน้ำสงกรานต์ท่านในตอนหลังด้วย (รดใส่พานพวงดอกไม้ต่อหน้าท่าน) หลังจากพวกญาติโยม และคุณพยาบาลสิบกว่าคนและแพทย์ไปรดน้ำท่านแล้ว ผมก็ไปต่อคิวแทบจะสุดท้าย แต่แรกก็ไม่อยากไปคิดว่าจะไปรบกวนเวลาท่าน แต่สุดท้ายก็คิดว่า โอกาสหายาก ควรจะไปจีงได้ไปกราบคราวนี้ ก่อนกลับได้รับแจกหนังสือธรรมะ มาหนึ่งเล่ม เป็นหนังสือที่ระลึก ฉลองครบรอบ ๑๙ ปี เนื่องในโอกาสท่านได้รับพระราชทาน สถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ในวันที่ ๒๑ เมษายน เป็นแบบฉบับแจกฆราวาสปกสีฟ้า (ส่วนฉบับแจกพระสงฆ์เห็นเป็นแบบปกสีส้้ม) เนื้อในเล่มสีฟ้าเป็นพระนิพนธ์ มีประโยชน์ดี นอกจากนี้ได้มีโอกาสนมัสการ และไปดู พระบรมสารีริกธาตุที่ประทานให้กับครูบาอาจารย์ เพื่อไปประดิษฐานที่เจดีย์ที่วัดของท่านด้วย ดังนั้นเลยบอกว่าปีนี้คือสงกรานต์พิเศษของผม
Monday, April 14, 2008
วิถีจิต วิิถีของรูป ตีความแบบวิทยาศาสตร์
วิถีจิต เท่าที่ได้รับการบอกมาจากครูอาจารย์หลาย ท่านต่างก็ว่าเป็นเรื่องสำคัญมากในพระอภิธรรม
การเรียนพระอภิธรรมในระดับชั้นที่ ๔ หรือ มัชฌิมอาภิธรรมิกะตรี เรียนเรื่องวิถีจิต เป็นเรื่องสำคัญ ๑ ใน ๓ เรื่องของที่เรียนในชั้นนี้
้
จิตของสิ่งมีชิวิตทั้งหลายนั้น เกิดดับอยู่ตลอดเวลา (เรื่องที่ว่า อะไรคือสิ่งมีชีวิต นี่ก็พิสดาร สำหรับคนเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วันหลังถ้าไม่ลืมจะมาอธิบายว่า พระพุทธศาสนาจัดสิ่งมีชีวิตต่างจากวิทยาศาสตร์อย่างไร คนทั่วไปในประเทศไทยน่าจะ 99% ไม่รู้ หรือถ้าเคยรู้มาก็คงไม่ได้คิดอะไรมาก) แต่ละขณะจิตหนี่ง ก็เป็นจิตดวงหนี่งๆ ดวงจิตนั้นตามคัมภีร์กล่าวว่า ในชั่วดีดนิ้วมือครั้งหนึ่งมีดวงจิตเกิดดับถึงแสนโกฏิขณะ แสนโกฏิก็คือ 10^12 ครั้ง สมมุติว่าถ้าดีดนิ้วมือครั้งหนี่งกินเวลา ๑ วินาที เมื่อคิดกลับกัน ขณะจิตหนึ่งน่าจะมีอายุราวๆ 1 picosecond หรือประมาณนั้น ผมเลยมองเอาแบบวิทยาศาสตร์ว่า ดวงจิตดวงหนี่งน่าจะเป็น nerve impulse หนี่ง น่าจะได้ น่ามหัศจรรย์ที่ญานของพระพุทธองค์นั้นสามารถ probe ลงได้้ถึงระดับเวลาสั้นๆแค่นั้น
ในองค์ประกอบของขณะจิตแต่ละดวงนั้น จะมีองค์ประกอบอยู่เป็นส่วนประกอบด้วยเรียกว่า เจตสิก ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านจัดไว้เต็มที่ ๕๒ ตัว (ผมจะแปลคร่าวๆตามความเข้าใจของผมเองเป็นภาษาอังกฤษว่า เจตสิก เป็น emotional components / attributes มีอยู่เต็มที่ ๕๒ ตัวก็ได้ แต่ว่าจริงๆแล้วจะมีไม่ครบ อย่างมากก็มีสามสิบกว่าตัวในจิตแต่ละดวง) ผมมองเทียบว่า หากจิตดวงหนี่งเป็นเสมือนคอมพิวเตอร์โค้ด ๑ ไบท์ ที่ส่งสัญญาณแบบขนาน ก็จะมีการส่งสัญญานองค์ประกอบเจตสิกของแต่ละ impulse ไปพร้อมๆกันเลย เหมือนการส่งสัญญาณประสาทไม่มีผิด และจิตเกิดแล้วดับ นั้น ในระดับเล็กๆแล้วเกิดเร็วมาก แต่คนทั่วไปไม่เห็น (และไม่ได้เรียนอภิธรรม) จึงไม่เห็นอนิจจลักษณะของมันว่าเกิดหรือดับ ทำนองเดียวกับหลอดไฟที่ติดอยู่ตลอดเวลาแม้ว่าเราจะใช้ไฟฟ้า 50 Hz ไม่ได้ใช้ไฟกระแสตรงอยู่ก็ตาม
รูป (หรือ ที่พระพรหมคุณาภรณ์ท่านแปลเอาไว้และผมจำได้ว่า physical corporeality ) นั้นก็เกิดดับเหมือนกัน โดยมีอายุ ๑๗ ขณะจิต ดังนั้นเราก็จะคำรวณรู้ได้ว่า ในเวลาประมาณแต่ละวินาทีนั้น มีรูปเกิดดับได้เท่าไร และหาความถี่ของมันได้ ผมเพิ่งถึงบางอ้อไม่นานมานี้ว่า มันไปตรงกับคุณสมบัติสองสถานของอณุภาคทางฟิสิกส์ กล่าวคืออณุภาคเป็นได้ทั้ง particle & wave ผมยังขี้เกียจไปค้นตำรา physics ตอนนี้ว่าอณุภาคต่างๆนั้น ที่บอกว่าเป็นทั้งอณุภาคและคลื่นได้ มันมีความถี่เท่าไร จะได้เอามายันกับพระอภิธรรม
วันนี้ยังไม่ได้พูดเรื่องวิถีจิตเลยแฮะ
การเรียนพระอภิธรรมในระดับชั้นที่ ๔ หรือ มัชฌิมอาภิธรรมิกะตรี เรียนเรื่องวิถีจิต เป็นเรื่องสำคัญ ๑ ใน ๓ เรื่องของที่เรียนในชั้นนี้
้
จิตของสิ่งมีชิวิตทั้งหลายนั้น เกิดดับอยู่ตลอดเวลา (เรื่องที่ว่า อะไรคือสิ่งมีชีวิต นี่ก็พิสดาร สำหรับคนเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วันหลังถ้าไม่ลืมจะมาอธิบายว่า พระพุทธศาสนาจัดสิ่งมีชีวิตต่างจากวิทยาศาสตร์อย่างไร คนทั่วไปในประเทศไทยน่าจะ 99% ไม่รู้ หรือถ้าเคยรู้มาก็คงไม่ได้คิดอะไรมาก) แต่ละขณะจิตหนี่ง ก็เป็นจิตดวงหนี่งๆ ดวงจิตนั้นตามคัมภีร์กล่าวว่า ในชั่วดีดนิ้วมือครั้งหนึ่งมีดวงจิตเกิดดับถึงแสนโกฏิขณะ แสนโกฏิก็คือ 10^12 ครั้ง สมมุติว่าถ้าดีดนิ้วมือครั้งหนี่งกินเวลา ๑ วินาที เมื่อคิดกลับกัน ขณะจิตหนึ่งน่าจะมีอายุราวๆ 1 picosecond หรือประมาณนั้น ผมเลยมองเอาแบบวิทยาศาสตร์ว่า ดวงจิตดวงหนี่งน่าจะเป็น nerve impulse หนี่ง น่าจะได้ น่ามหัศจรรย์ที่ญานของพระพุทธองค์นั้นสามารถ probe ลงได้้ถึงระดับเวลาสั้นๆแค่นั้น
ในองค์ประกอบของขณะจิตแต่ละดวงนั้น จะมีองค์ประกอบอยู่เป็นส่วนประกอบด้วยเรียกว่า เจตสิก ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านจัดไว้เต็มที่ ๕๒ ตัว (ผมจะแปลคร่าวๆตามความเข้าใจของผมเองเป็นภาษาอังกฤษว่า เจตสิก เป็น emotional components / attributes มีอยู่เต็มที่ ๕๒ ตัวก็ได้ แต่ว่าจริงๆแล้วจะมีไม่ครบ อย่างมากก็มีสามสิบกว่าตัวในจิตแต่ละดวง) ผมมองเทียบว่า หากจิตดวงหนี่งเป็นเสมือนคอมพิวเตอร์โค้ด ๑ ไบท์ ที่ส่งสัญญาณแบบขนาน ก็จะมีการส่งสัญญานองค์ประกอบเจตสิกของแต่ละ impulse ไปพร้อมๆกันเลย เหมือนการส่งสัญญาณประสาทไม่มีผิด และจิตเกิดแล้วดับ นั้น ในระดับเล็กๆแล้วเกิดเร็วมาก แต่คนทั่วไปไม่เห็น (และไม่ได้เรียนอภิธรรม) จึงไม่เห็นอนิจจลักษณะของมันว่าเกิดหรือดับ ทำนองเดียวกับหลอดไฟที่ติดอยู่ตลอดเวลาแม้ว่าเราจะใช้ไฟฟ้า 50 Hz ไม่ได้ใช้ไฟกระแสตรงอยู่ก็ตาม
รูป (หรือ ที่พระพรหมคุณาภรณ์ท่านแปลเอาไว้และผมจำได้ว่า physical corporeality ) นั้นก็เกิดดับเหมือนกัน โดยมีอายุ ๑๗ ขณะจิต ดังนั้นเราก็จะคำรวณรู้ได้ว่า ในเวลาประมาณแต่ละวินาทีนั้น มีรูปเกิดดับได้เท่าไร และหาความถี่ของมันได้ ผมเพิ่งถึงบางอ้อไม่นานมานี้ว่า มันไปตรงกับคุณสมบัติสองสถานของอณุภาคทางฟิสิกส์ กล่าวคืออณุภาคเป็นได้ทั้ง particle & wave ผมยังขี้เกียจไปค้นตำรา physics ตอนนี้ว่าอณุภาคต่างๆนั้น ที่บอกว่าเป็นทั้งอณุภาคและคลื่นได้ มันมีความถี่เท่าไร จะได้เอามายันกับพระอภิธรรม
วันนี้ยังไม่ได้พูดเรื่องวิถีจิตเลยแฮะ
Saturday, April 12, 2008
เศรษฐกิจของโลกยังดูท่าไม่ดี
จากบทความทางเศรษฐกิจของนักการทูตออสเตรเลียที่ใส่ลิงก์ไว้ข้างบน อ่านดูแล้ว ก็ไม่เห็นว่าเศรษฐกิจของโลกจะกระเตื้องไปจากสถานการณ์โคม่าในปัจจุบันได้อย่างไร ยังดูท่าไม่ดี
ถ้าเศรษฐกิจถดถอยเหมือนในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ก็แย่กันทั่วโลก
ถ้าเศรษฐกิจถดถอยเหมือนในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ก็แย่กันทั่วโลก
Thursday, April 10, 2008
สายน้ำสีแดง
red tide ผมแปลเป็นไทยเอาเองว่า สายน้ำสีแดง เกิดจากการเจริญแพร่กระจายของสาหร่ายมากเกินไป (algal bloom) ในสหรัฐเกิดจาก Karenia brevis ซี่งมีสารพิษ ทำให้สัตว์น้ำตาย ไม่เพียงแต่ หอย ปลา กุ้ง เต่า พะยูน แต่คนที่ไปว่ายน้ำก็เกิดอาการ น้ำตาไหลและแสบคอ เป็นผลเสียทางเศรษฐกิจ และยังต่อการท่องเที่ยว(ของฟลอริดา)ด้วย สาเหตุนั้นเชื่อว่า เป็นเพราะมีสารอินทรีย์ โดยเฉพาะไนโตรเจน (จากการเกษตร และอุตสาหกรรม) ออกมาจากปากแม่น้ำสู่ทะเลมากเกินไป
แต่ที่เกิดในไทย ไม่ทราบว่าเกิดจากสาหร่ายชนิดไหน ทำให้การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งเสียหาย หรือบ่อกุ้งเสียหาย แต่สาเหตุก็คงเป็นแบบเดียวกัน คือสารอินทรีย์มากไป หากว่าเกิดเมื่อไร ฟาร์มก็เสียหาย
แต่ที่เกิดในไทย ไม่ทราบว่าเกิดจากสาหร่ายชนิดไหน ทำให้การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งเสียหาย หรือบ่อกุ้งเสียหาย แต่สาเหตุก็คงเป็นแบบเดียวกัน คือสารอินทรีย์มากไป หากว่าเกิดเมื่อไร ฟาร์มก็เสียหาย
เชื้อเพลิงชีวะ
ไปอ่านเจอว่า สองเดือนที่แล้ว สหรัฐอเมริกาเพิ่งออกกฏหมายว่า อีก ๘ ปี โรงกลั่นนำ้มันในสหรัฐจะต้องหันไปใช้ เชื้อเพลิงชีว (biofuel) ที่มาจากเซลลูโลส แทนที่จะใช้น้ำตาลหรือข้าวโพด ซึ่งเรื่องนี้เป็นเทคโนโลยีใหม่ เรื่องนี้แม้แต่ยุโรปก็ยังตามอเมริกาไม่ทัน
ความหมายของเขาก็คือว่า การผลิตเอธานอลเป็นเชื้อเพลิงนั้น ไม่สมควรใช้น้ำตาลหรือข้าวโพดเป็นวัตถุต้ั้งต้น เพราะจะเป็นการไปแย่งดึงผลผลิตทางด้านอาหารออกมาเป็นเชื้อเพลิง เป็นผลลบต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังอาจจะก่อให้เกิดการแผ้วถางเพื่อปลูกพืชที่ให้น้ำตาล หรือข้าวโพด เพิ่มขี้นอีก เป็นการไม่ช่วยลดการเกิดคาร์บอนไดออกไซด์ ไม่เอื้อให้สถานการณ์โลกร้อนทุเลาลงแต่อย่างไร
ที่เขียนเรื่องนี้มาไว้นี้ ก็อยากจะให้มีเนื้อหาแบบนี้มีพูดถีงบ้างในภาษาไทย แม้ว่าโดยส่วนตัว
เชื่อว่า ประเทศไทยคงไม่ทำอะไร เพราะนักการเมืองไทยที่อยู่ในอำนาจตอนนี้ ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มพ่อค้า นายทุน มาเพื่อหาผลประโยชน์เป็นส่วนใหญ่ จีงมักไม่ได้มาเพื่อแก้ปัญหาให้ชาติทั้งในปัจจุบันและอนาคต ตอนนี้ก็มีแต่จะแก้ปัญหาส่วนของนักการเมืองเอง ไม่เกี่ยวกับประชาชนเลย แต่ก็อ้างประชาชนจัง
เพิ่มเติมนิดหนี่ง เพราะเพิ่งไปอ่านบทความจากไทม์ บอกว่า การที่ข้าวโพดส่วนหนี่งในอเมริกาโดนนำไปใช้ผลิดเชื้อเพลิงคืออัลกอฮอล์นั้น เป็นเหตุหนึ่งทำให้ปีนี้ข้าวแพงด้วย (นอกเหนือจากเหตุอื่นๆอีกหลายข้อ)
ความหมายของเขาก็คือว่า การผลิตเอธานอลเป็นเชื้อเพลิงนั้น ไม่สมควรใช้น้ำตาลหรือข้าวโพดเป็นวัตถุต้ั้งต้น เพราะจะเป็นการไปแย่งดึงผลผลิตทางด้านอาหารออกมาเป็นเชื้อเพลิง เป็นผลลบต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังอาจจะก่อให้เกิดการแผ้วถางเพื่อปลูกพืชที่ให้น้ำตาล หรือข้าวโพด เพิ่มขี้นอีก เป็นการไม่ช่วยลดการเกิดคาร์บอนไดออกไซด์ ไม่เอื้อให้สถานการณ์โลกร้อนทุเลาลงแต่อย่างไร
ที่เขียนเรื่องนี้มาไว้นี้ ก็อยากจะให้มีเนื้อหาแบบนี้มีพูดถีงบ้างในภาษาไทย แม้ว่าโดยส่วนตัว
เชื่อว่า ประเทศไทยคงไม่ทำอะไร เพราะนักการเมืองไทยที่อยู่ในอำนาจตอนนี้ ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มพ่อค้า นายทุน มาเพื่อหาผลประโยชน์เป็นส่วนใหญ่ จีงมักไม่ได้มาเพื่อแก้ปัญหาให้ชาติทั้งในปัจจุบันและอนาคต ตอนนี้ก็มีแต่จะแก้ปัญหาส่วนของนักการเมืองเอง ไม่เกี่ยวกับประชาชนเลย แต่ก็อ้างประชาชนจัง
เพิ่มเติมนิดหนี่ง เพราะเพิ่งไปอ่านบทความจากไทม์ บอกว่า การที่ข้าวโพดส่วนหนี่งในอเมริกาโดนนำไปใช้ผลิดเชื้อเพลิงคืออัลกอฮอล์นั้น เป็นเหตุหนึ่งทำให้ปีนี้ข้าวแพงด้วย (นอกเหนือจากเหตุอื่นๆอีกหลายข้อ)
Sunday, April 06, 2008
เพิ่งรู้ว่าอเมริกันเขียนบล๊อกเป็นอาชีพ
จากข่าวข้างบน ทำให้รู้ว่า ในอเมริกานั้น มีคนทำงานหนักอดหลับอดนอนเขียนบล๊อกเป็นอาชีพก็แยะ และทำเงินได้ดีเสียด้วย แต่เป็นอาชีพที่ทารุณสมองมากๆ เพราะ หลายคนเสียชีวิตมาแล้ว
Friday, April 04, 2008
ต้นไม้ดีเซลล์
บทความจากเว็บข้างบนน่าสนใจ ต้นไม้ดีเซลล์ที่ว่าคือ Copaifera langsdorffii เป็นพืชเมืองร้อน น่าจะนำมาปลูกให้มากในไทย อาจจะดีกว่าปาล์มน้ำมันหรือเปล่าไม่ทราบ
และผมว่าถ้าใช้ metabolic engineering อีกเล็กน้อย หรือทำ gene transfer ก็จะสามารถสร้างพืชใหม่ที่ปลูกให้ประสิทธิภาพยิ่งสูงกว่าพืชธรรมชาติได้ (แต่พวกหัวแข็งบางกลุ่มคงไม่ยอมให้เมืองไทยก้าวหน้าไปแน่ๆ แต่อินเดียกับจีนเขาไปไหนๆกันแล้ว) ข้อมูลในวิกิพีเดียก็มี
และผมว่าถ้าใช้ metabolic engineering อีกเล็กน้อย หรือทำ gene transfer ก็จะสามารถสร้างพืชใหม่ที่ปลูกให้ประสิทธิภาพยิ่งสูงกว่าพืชธรรมชาติได้ (แต่พวกหัวแข็งบางกลุ่มคงไม่ยอมให้เมืองไทยก้าวหน้าไปแน่ๆ แต่อินเดียกับจีนเขาไปไหนๆกันแล้ว) ข้อมูลในวิกิพีเดียก็มี
Thursday, April 03, 2008
ประสบการณ์การใช้เล็พเพอร์ดมาสองวัน
ผมลง Leopard ในเครื่องพาวเวอร์บุ๊ค G4 1.67 GHz รุ่นสุดท้าย พอลงใหม่หมดแล้ว ก็พบว่าเครื่องไม่ได้ช้าลง ดูเหมือนจะเร็วขึ้นเล็กน้อยเสียอีก การใช้ Finder ผมชอบมากกว่าเดิม เพราะเส้นบรรทัดถี่กว่าเดิม ทำให้มองดูแฟ้มได้แยะกว่า เมื่อมองเป็นลิสต์ เมื่อมองในแบบ cover flow ก็ดี เพราะสามารถเห็นเนื้อหาหน้าแรกได้โดยไม่ต้องเปิดแฟ้มดู ส่วนสเปซก็ไม่มีอะไรใหม่ เพราะผมใช้ virtual desktops มาแล้ว
มีที่อยากจะบอกไว้คือ สปอตไลท์เสอร์ชดีกว่าเดิม ไม่ชะงัก และที่สำคัญ ค้นดัชนีคำภาษาไทยได้เร็วกว่าในไทเกอร์มาก
ฟอนต์ของระบบที่ให้มา ทำให้การใช้ซาฟารีดูเว็บภาษาไทย ได้อักษรที่ดูดีกว่าเดิม แต่ทว่า ในบางเว็บตัวจะเล็กมากอ่านยาก ต้องขย่ายขนาดเอาเองเป็นหน้าๆไป
เมื่อใช้ซอฟต์แวร์ประมวลคำ เช่น NeoOffice ตอนแรกไม่สามารถปรินต์ออกมาเป็นภาษาไทยได้ ต้องไปลงฟอนต์ตระกูล UPC ที่พัฒนาโดยบริษัท Unity Progress และผมยังมีเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ลูกเก่า ก๊อปมาใส่เพิ่ม ปัญหาจึงหมดไป เพิ่งลองใช้ไทม์แมชีนแบคอัพไฟล์ค้างคืนไปหนี่งครั้ง ไม่น่าเชื่อว่าผมมีข้อมูลเกือบ 850,000 แฟ้ม รวม 55 GB ก็ปล่อยค้างคืน ใช้เวลากว่า 5 ชั่วโมง ผ่านพอร์ต Firewire 400
มีที่อยากจะบอกไว้คือ สปอตไลท์เสอร์ชดีกว่าเดิม ไม่ชะงัก และที่สำคัญ ค้นดัชนีคำภาษาไทยได้เร็วกว่าในไทเกอร์มาก
ฟอนต์ของระบบที่ให้มา ทำให้การใช้ซาฟารีดูเว็บภาษาไทย ได้อักษรที่ดูดีกว่าเดิม แต่ทว่า ในบางเว็บตัวจะเล็กมากอ่านยาก ต้องขย่ายขนาดเอาเองเป็นหน้าๆไป
เมื่อใช้ซอฟต์แวร์ประมวลคำ เช่น NeoOffice ตอนแรกไม่สามารถปรินต์ออกมาเป็นภาษาไทยได้ ต้องไปลงฟอนต์ตระกูล UPC ที่พัฒนาโดยบริษัท Unity Progress และผมยังมีเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ลูกเก่า ก๊อปมาใส่เพิ่ม ปัญหาจึงหมดไป เพิ่งลองใช้ไทม์แมชีนแบคอัพไฟล์ค้างคืนไปหนี่งครั้ง ไม่น่าเชื่อว่าผมมีข้อมูลเกือบ 850,000 แฟ้ม รวม 55 GB ก็ปล่อยค้างคืน ใช้เวลากว่า 5 ชั่วโมง ผ่านพอร์ต Firewire 400
ISO จะผ่าน OOXML เป็นมาตราฐาน ?
ข่าวออกมาว่า ISO จะผ่าน OOXML เป็นมาตราฐาน โปรแกรมประมวลคำ
จากการโหวตจากประเทศส่วนใหญ่ โหวต Yes (สงสัยว่าจะรวมประเทศไทยด้วย) และมีข่าวว่า มีความไม่ชอบมาพากลในหลายประเทศ อย่าง นอร์เวย์ ก็กำลังตั้งกรรมการสอบว่า กรรมการในประเทศนั้นส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย แต่ดันไปโหวตเยสได้ยังไง (แต่ในไทย คงไม่มีใครสนใจจะไปสอบสวน ยิ่งคณะรัฐบาลชุดนี้ด้วยแล้ว ไม่อยากจะพูดต่อ) ก็ได้แต่ปลงอนิจจัง อันนี้เป็นวิบากที่คนในโลกก็ต้องรับไป เลี่ยงไม่ได้ ในเมื่อ OOXML จริงๆแล้วไม่ใช่มาตราฐาน ยังไงๆผมก็ใช้ ODF อยู่ดีในขณะนี้ อย่างน้อยก็จนกว่าผมจะหันไปใช้ Pages ในชุดโปรแกรม iWork ของ Apple ตอนนั้นก็ว่ากันใหม่
จากการโหวตจากประเทศส่วนใหญ่ โหวต Yes (สงสัยว่าจะรวมประเทศไทยด้วย) และมีข่าวว่า มีความไม่ชอบมาพากลในหลายประเทศ อย่าง นอร์เวย์ ก็กำลังตั้งกรรมการสอบว่า กรรมการในประเทศนั้นส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย แต่ดันไปโหวตเยสได้ยังไง (แต่ในไทย คงไม่มีใครสนใจจะไปสอบสวน ยิ่งคณะรัฐบาลชุดนี้ด้วยแล้ว ไม่อยากจะพูดต่อ) ก็ได้แต่ปลงอนิจจัง อันนี้เป็นวิบากที่คนในโลกก็ต้องรับไป เลี่ยงไม่ได้ ในเมื่อ OOXML จริงๆแล้วไม่ใช่มาตราฐาน ยังไงๆผมก็ใช้ ODF อยู่ดีในขณะนี้ อย่างน้อยก็จนกว่าผมจะหันไปใช้ Pages ในชุดโปรแกรม iWork ของ Apple ตอนนั้นก็ว่ากันใหม่
Tuesday, April 01, 2008
อัพเดทโอเอสเป็นเล็พเพอร์ด
อัพเดทตั้งแต่เมื่อวาน จากไทเกอร์ เป็น เล็พเพอร์ด เพราะต้องถือโอกาสตอนเปลี่ยนฮาร์ดดิสบนเครื่องพาวเวอร์บุ็ค G4 ไปเป็น 250 GB ก็เลยเปลี่ยนโอเอสเสียเลย อีกอย่างงานในโครงการใหม่กำลังจะเริ่ม ทำซะตอนนี้ เวลาก็กำลังเหมาะก่อนสงกรานต์ หากมีปัญหาจะได้มีเวลาหายใจหายคอหน่อย แผ่นโอเอสที่ซื้อมา เป็นรุ่น OS-X 10.5.1 บริษัทยูนิตี้โพรเกรส ส่งช่างมาเปลี่ยนฮาร์ดดิสให้ถีงที่ ขอบคุณจริงๆ ฮาร์ดดิส ราคาราว 6000 บาท ส่วน Leopard จดไว้ว่า 4790 บาท เท่ากันทั่วประเทศไทย ฮาร์ดิสตัวเก่าใส่กล่องเปล่าที่เพิ่งซื้อมาใช้เป็น external drive สำรอง และก็ไว้เตรียมถ่ายข้อมูลลงฮาร์ดิสก์ใหม่
หลังช่างกลับไปแล้ว ผมอินสตอลเล็พเพอร์ดลงบนฮาร์ดดิสก์เปล่าในเครื่องเดิมเอง ใช้เวลาไม่ถีงสองชั่วโมง โดยซอฟต์แวร์มันไปเสียเวลาตรวจสอบความถูกต้องของโด้ดบนแผ่นดีวีดีเสียก่อนเกือบสี่สิบนาที ต่อมาตอนถ่ายโอนข้อมูล มันมีปัญหาเพราะมีสองแฟ้มข้อมูลเก่าที่มันคอร์รัปก็เลยทำให้ไม่สามารถโอนข้อมูลผู้ใช้และโปรแกรมโดยอัตโนมัตมาได้จากฮาร์ดดิสก์เก่า ต้องมาก๊อปข้อมูลถ่ายเทเอาเอง ต่อมาก็เสียเวลาอัพเดทแพ้ทช์ต่างๆและปรับรุ่นของซอฟต์แวร์ให้ทันสมัยอยู่ค้างคืน และมาต่อตอนเช้าอีกเล็กน้อย จากนั้นก็ดาวน์โหลด ซอฟต์แวร์ที่ต้องใช้จากอินเทอร์เน็ตมาเพิ่มเติม เช่น GIMP, NeoOffice, Artemis, Cytoscape
วันนี้เย็นเลยแวะไปพันธุ์ทิพย์มา ไปซื้อ iLife '08 มาจากร้าน iStudio เป็นของแท้กล่องหุ้มพลาสติก มาในราคา 3190 บาท กดเครื่องคิดเลขดู ตอนนี้ดอลล่าร์หนี่งสามสิบเอ็ดบาทกว่า ราคาตกประมาณ $100 นี่ราคาในประเทศไทยนะ เทียบกับราคาในอเมริกาแค่ $70 เอง ดูเหมือนจะเคยโพสต์บ่นมาแล้วทีหนี่งว่า อยู่ประเทศด้อยพัฒนาแต่เสียเงินซื้อของแพงกว่าคนอเมริกัน เอาละ ปลงเสีย ถือว่าจ่ายภาษีให้รัฐบาล กับให้กำไรเอเย่นต์เขาม่ัง มีเงินก็ใช้ไป เก็บไว้เท่าที่เก็บได้ ไม่ต้องคิดมาก
พอตอนอินสตอล เวรกรรม จริงๆ มีหนี่งโปรแกรมคือ iMovie '08 ไม่ยอมลงบนซีพียู G4 ความจริงเราเคยรู้อยู่แล้วก็ลืมไปแล้ว
เราไปค้นดูบนเว็บ ความจริงก็มีวิธีแก้ แต่ขี้คร้านจะลอง เพราะกลัวมันทำมีข้อพกพร่องตอนอัพเดทซอฟต์แวร์ออนไลน์ ช่างหัวมัน เพราะตอนนี้ยังไม่คิดจะใช้ตัวนั้น ซื้อมาเพราะเราติดใจโปรแกรม iPhoto เป็นหลัก แบบนี้สงสัยจะต้องใช้ตัวอื่นให้คุ้มเสียแล้ว ส่วน iWork ยังไม่ได้ซื้อ แต่ก็จะซื้อวันหลัง เพราะจะต้องใช้ KeyNote แค่อย่างเดียว แต่เอาไว้ก่อนก็ได้ อย่างอื่นใช้ NeoOffice ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สฟรีไปแทนสบายๆ
Subscribe to:
Posts (Atom)