เมื่อคืนผมขับรถกลับบ้านช้าไปอีกสองชั่วโมงเพราะรถติด เป็นเรื่องผิดปรกติ เพราะปกติตอนทุ่มกว่าๆรถจะว่างแล้ว แต่เมื่อวานมีการประท้วงโดยกลุ่มไหนก็ไม่ทราบ ข้างกระทรวงการคลัง และไปปิดถนนพระรามหก ตรงหัวถนนที่จะเข้าที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ ผมรู้สึกว่าตามปกติที่จับลมหายใจอยู่ก็จะโอเค แต่เมื่อวานมันไม่ค่อยจะโอเค ใจกระสับกระส่าย และในใจก็นึกตำหนิทั้งกลุ่มผู้ประท้วง และตำรวจที่เป็นผู้ดำเนินการ และจัดการจราจร โดยไม่ทำอะไรสักอย่าง ทำให้รถนับหมื่นๆคน และประชากรหลายหมื่นคนต้องเดือนร้อน
คนใกล้ตัวผมก็ไม่สบายแต่ก็ขับรถกลับทางนั้นเหมือนกันก็แทบแย่ กลับถึงบ้านก็อาเจียรหลายรอบ และนอนซมต่อไปทั้งคืน
ผมเขียนมานี้ไม่ได้โกรธอะไรแล้ว แต่ก็อยากจะจดเหตุการณ์นี้ไว้ว่า มันเกิดในสังคมไทยเป็นประจำ และเกิดบ่อยปีละหลายๆครั้ง แต่บังเอิญที่ผมก็รอดสันดอนมาได้ทุกครั้งจนกระทั่งเมื่อวานถึงมาเจอกับตัวเอง
ทำไมคนต้องใช้อารมณ์ ออกมาประท้วง พูดกันดีๆด้วยเหตุผลไม่ได้หรือ ถ้าหน่ายงานรัฐไม่ทำ ก็ยื่นฟ้องศาลปกครองไป หรือหน่วยงานอื่นๆก็มีให้ยื่นตั้งแยะ
ทำไมตำรวจไม่กล้าจัดการ เพราะเขาก็ต้องป้องกันตัวเอง ทำอะไรลงไปก็โดนเล่นงาน เลยไม่ทำดีกว่า
นักการเมืองก็ไม่กล้า เพราะเก้าอี้รัฐบาลก็ไม่ได้แน่นหนาอะไร มีการพยายามหาทางล้มโดยบุคคลบางกลุ่มเพื่อผลประโยชน์ตัวเองเรื่อยๆ
วิธีแก้คือต้องแก้ความคิดความเคยชินในสังคมไทยเสียใหม่ อะไรที่ไม่ถูกไม่ควรต้องเลิกเสีย เช่น ไม่ชอบอะไรก็ออกมาปิดถนนประท้วง หรือ เรื่องรับเงินซื้อเสียงจากนักการเมือง เป็นต้น แต่คงต้องไปทำกับเด็กรุ่นใหม่ คนรุ่นปัจจุบันทำอะไรไม่ได้แล้ว
ผมคิดว่า ต้องไปแก้ที่รากเหง้า คือการศึกษาของเด็กไทย
ตำราเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาลและประถมของไทยจะต้องสอนเด็กรุ่นใหม่ ว่าอะไรถูก อะไรไม่ถูก อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ อะไรที่ผู้ใหญ่ทำไม่ดี อย่าไปเอาอย่าง อะไรคือหิริ อะไรคือ โอตัปปะ เพื่อปรับค่านิยมของเขาให้ถูกต้อง ให้มีคุณธรรม มีจริยธรรม และความรับผิดชอบต่อส่วนรวม มากกว่าผู้ใหญ่ในรุ่นนี้
ถ้าคุณธรรมของเด็กรุ่นใหม่ไม่ได้รับการแก้ไขให้้ดีขึ้น บ้านเมืองในอนาคตคงจะแย่ลงๆ
ในส่วนตัวผมตอนนั้นก็มองว่า ผมก็รับวิบากกรรมไป พอนึกได้อย่างนี้ก็สบายใจ ใช้กรรมไปเสีย จะได้หมดๆไป กลับถึงบ้าน แม้จะขมับเต้นตุบๆปวดศรีษะ แต่ก็รู้สึกมีความสุขเมื่อถึงบ้าน ยิ้มแย้มแจ่มใจ เพราะเรามีสัมมาสติ และมีสัมปชัญญะ
No comments:
Post a Comment