ผมอ่านบทสัมภาษณ์แล้วชอบมาก ได้ความคิดหลายอย่างที่ทบทวนแวะเวียนเข้ามา
อย่างแรก เยาวชน บรรดาคนที่เป็นคนรักความรู้ จะสามารถเพิ่มพูนความรู้ให้กับคนอื่นในสังคมผ่านอินเทอร์เน็ตได้มากกว่าคนในวัยอื่นๆ(เช่นคนทำงาน คนวัยกลางคน อาจจะไม่นับนักวิชาการบางคน)
อย่างผมตอนนี้ก็ไม่มีเวลาไปเขียนให้วิกิพีเดีย เพราะลำพังงานตัวเองก็จะไปไม่รอดอยู่แล้ว ในเมืองนอก โดยเฉพาะคนรุ่นหนุ่มสาวฝรั่ง เขาอุทิศตัวสร้างความรู้และทรัพยากรให้กับอินเทอร์เน็ตมากทีเดียว ของไทยดูจะมีน้อยมากๆ
อย่างที่สอง เรื่องประชาคม ที่มีความสนใจในสิ่งเดียวกัน อาจจะมีวัตถุประสงค์สร้างอะไรบางอย่างเพื่อสังคมร่วมกัน อย่างนั้นเป็นต้น การมีอินเทอร์เน็ตทำให้สิ่งนี้เป็นไปได้ ปัญหาอยู่ที่ว่าจะมีใครเริ่มประชาคมต่างๆขึ้นมาหรือไม่ อย่างเช่น กลุ่มคนที่อาจจะสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมหรือรีไซเคิลในเมืองไทย ถ้ามีการสร้างฟอรัมออนไลน์ขึ้นมา ก็จะเป็นการระดมสมอง และผลักดันประเด็นต่างๆไปสู่สังคมได้
อย่างที่สาม คนที่เป็นนักอ่านนั้น มีโอกาสและความรู้พอที่จะทำอะไรเพื่อสังคมได้มาก เมื่อเขาหยุดพักเพื่อคิดแล้ว แล้วตัดสินใจลงมือทำทันที (คงจะมีโอกาสมากกว่านักแซตหรือนักเล่นเกมส์อย่างเดียวแน่ๆ) ถ้าหนอนหนังสือไทย หันมาสร้างความรู้ไว้บนอินเทอร์เน็ตมากขึ้นก็จะดี
ไม่รู้จะมีคนอ่านความเห็นนี้แล้วเอาไปทำมากแค่ไหน แต่แม้จะคนเดียว(ผมอาจจะทำเอง หลังโดนตัวเองกระตุ้นใหม่นี่) ก็น่าจะทำให้อะไรดีขึ้นบ้าง
ปกิณกะ ไทย I posted about interesting items information I found, write my views on books I read, education, science and technology, Buddhism and meditation, economic and business, music, and movies, country and rural development. Articles are in English or Thai.
Tuesday, September 27, 2005
Monday, September 26, 2005
My one year anniversary of Vipassana lesson
ผมเรียนวิปัสสนาขั้นต้นมาได้ครบปีหนึ่งแล้วละมัง หลังจากไปกราบนมัสการหลวงพ่อปราโมทย์ที่กาญจนบุรีปีที่แล้วมาสองครั้ง คือในปี พ.ศ. ๒๕๔๗
หลายปีก่อนหน้านี้ผมไม่เคยรู้ว่าวิปัสสนาสำคัญอย่างไรในทางพุทธศาสนา เพราะฝึกมาแต่สมถะ ซึ่งก็คงจะทำมาอย่างน้อย ๘ ปีแล้วละมัง ผมชอบเข้าสมาธิและให้จิตใจสงบ เป็นการหลบความวุ่นวายของโลก และความเครียดในเรื่องต่างๆในอดีต
ผมเคยไปเรียนที่วัดอัมพวันของหลวงพ่อจรัญที่สิงห์บุรีมา ๓ ครั้ง ครั้งแรก ๗ วัน ในปีต่อๆมา ครั้งต่อๆมาแค่ ๓ วัน แล้วก็ไม่ได้ไปมาหลายปีแล้ว เพราะวัดนั้นคนเข้าแยะมาก เลยปล่อยพื้นที่ไว้สำหรับคนเริ่มใหม่ก็แล้วกัน
แต่ก็ปฏิบัติสมถะภาวนามาเป็นครั้งคราว หลังๆนี่ผมเข้าไม่ได้ฌาณเท่าไร แต่อย่างไรก็คิดว่าตนเองชอบรู้กาย ใฝ่ในทางกายานุปัสสนา ยุบหนอพองหนอก็สงบดี แต่ต่อมากลับไปรู้ลมหายใจแทน ตามแบบมหาสติปัฏฐานสูตรและหลวงพ่อฤาษีลิงดำสอน(ในหนังสือที่ถอดเทปของท่าน)
ตอนแรกที่เพื่อนรุ่นน้องผมเอาหนังสือของหลวงพ่อปราโมทย์มาให้เมื่อต้นปีที่แล้วนั้น กว่าผมจะเริ่มอ่านก็ดองไว้หลายเดือน แต่ครั้งอ่านแล้วก็วางไม่ลงต้องอ่านจนจบภายใน ๒ วัน
จากนั้นก็อ่านอีกหลายรอบ และตามมาด้วยความศรัทธาหลวงพ่อ
อยากจะไปกราบนมัสการท่าน และตั้งใจจะแค่ไปทำบุญโดยอามิสบูชาเป็นหลัก รู้อยู่ก่อนเหมือนกันว่าท่านจะสอนธรรมะ แต่ไม่คิดมาก่อนว่าท่านจะสอนวิปัสสนาให้คนเมืองได้ทำกันได้
กลายมาเป็นผมทำปฏิบัติบูชาตามคำสองของท่านในรอบปีที่ผ่านมา
วิธีทำก็ไม่ยาก ตามรู้จิตใจเราไปเรื่อยๆ รู้ว่าตอนนี้อารมณ์หรือเวทนาเราเป็นอย่างไร สูขหรือทุกข์ มีกิเลสอะไรบ้าง ไปรับรู้อะไรบ้าง
แบบนี้ท่านสอนว่าคือมีสัมมาสติ บางครั้งผมสวดมนต์ผมยังนึกเห็นตัวผมเองนั่งสวดอยู่ ขณะที่คล้ายกับมีตัวอีกตัวหนึ่งยืนหรือนั่งดูข้างๆ ได้เริ่มเข้าใจว่า กายไม่ใช่เรา จิตไม่ใช่เรา ผู้รู้ไม่ใช่เรา
หนึ่งปีแล้วยังไม่ได้กลับไปกราบหลวงพ่ออีก กลัวหลวงพ่อสแกนจิตผมอีก รู้สึกละอายใจที่คราวแรกสุดเคยไปคิดอะไรนอกคอกไว้ เพราะรู้ว่าคุมจิตใจตนเองไม่ได้ ฟุ้งซ่านมากในปีที่แล้ว หลวงพ่อท่านก็รู้และมีเมตตาสอนเป็นอย่างดี
หนึ่งปีที่ผ่านมา ก็ฟังซีดีที่ท่านสอนมาตลอด แผ่นหนึ่งก็หลายเที่ยวแล้ว
ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าตัวเองมีความก้าวหน้าพอจะไปหรือยัง คิดว่าถ้าจะไปกราบหลวงพ่อ ก็คงจะเหมือนเดิมคือตั้งใจจะไปทำบุญกับท่าน อยากจะไปช่วยลงเงินในการเผยแผ่ธรรมะของหลวงพ่อ แต่เรื่องปัญหานั้น ผมยังไม่มีคำถามอะไรที่จะไปถามท่านอีกในตอนนี้
คงจะพยายามตามรู้จิต ตามรู้กายไปเรื่อยๆ
หลายปีก่อนหน้านี้ผมไม่เคยรู้ว่าวิปัสสนาสำคัญอย่างไรในทางพุทธศาสนา เพราะฝึกมาแต่สมถะ ซึ่งก็คงจะทำมาอย่างน้อย ๘ ปีแล้วละมัง ผมชอบเข้าสมาธิและให้จิตใจสงบ เป็นการหลบความวุ่นวายของโลก และความเครียดในเรื่องต่างๆในอดีต
ผมเคยไปเรียนที่วัดอัมพวันของหลวงพ่อจรัญที่สิงห์บุรีมา ๓ ครั้ง ครั้งแรก ๗ วัน ในปีต่อๆมา ครั้งต่อๆมาแค่ ๓ วัน แล้วก็ไม่ได้ไปมาหลายปีแล้ว เพราะวัดนั้นคนเข้าแยะมาก เลยปล่อยพื้นที่ไว้สำหรับคนเริ่มใหม่ก็แล้วกัน
แต่ก็ปฏิบัติสมถะภาวนามาเป็นครั้งคราว หลังๆนี่ผมเข้าไม่ได้ฌาณเท่าไร แต่อย่างไรก็คิดว่าตนเองชอบรู้กาย ใฝ่ในทางกายานุปัสสนา ยุบหนอพองหนอก็สงบดี แต่ต่อมากลับไปรู้ลมหายใจแทน ตามแบบมหาสติปัฏฐานสูตรและหลวงพ่อฤาษีลิงดำสอน(ในหนังสือที่ถอดเทปของท่าน)
ตอนแรกที่เพื่อนรุ่นน้องผมเอาหนังสือของหลวงพ่อปราโมทย์มาให้เมื่อต้นปีที่แล้วนั้น กว่าผมจะเริ่มอ่านก็ดองไว้หลายเดือน แต่ครั้งอ่านแล้วก็วางไม่ลงต้องอ่านจนจบภายใน ๒ วัน
จากนั้นก็อ่านอีกหลายรอบ และตามมาด้วยความศรัทธาหลวงพ่อ
อยากจะไปกราบนมัสการท่าน และตั้งใจจะแค่ไปทำบุญโดยอามิสบูชาเป็นหลัก รู้อยู่ก่อนเหมือนกันว่าท่านจะสอนธรรมะ แต่ไม่คิดมาก่อนว่าท่านจะสอนวิปัสสนาให้คนเมืองได้ทำกันได้
กลายมาเป็นผมทำปฏิบัติบูชาตามคำสองของท่านในรอบปีที่ผ่านมา
วิธีทำก็ไม่ยาก ตามรู้จิตใจเราไปเรื่อยๆ รู้ว่าตอนนี้อารมณ์หรือเวทนาเราเป็นอย่างไร สูขหรือทุกข์ มีกิเลสอะไรบ้าง ไปรับรู้อะไรบ้าง
แบบนี้ท่านสอนว่าคือมีสัมมาสติ บางครั้งผมสวดมนต์ผมยังนึกเห็นตัวผมเองนั่งสวดอยู่ ขณะที่คล้ายกับมีตัวอีกตัวหนึ่งยืนหรือนั่งดูข้างๆ ได้เริ่มเข้าใจว่า กายไม่ใช่เรา จิตไม่ใช่เรา ผู้รู้ไม่ใช่เรา
หนึ่งปีแล้วยังไม่ได้กลับไปกราบหลวงพ่ออีก กลัวหลวงพ่อสแกนจิตผมอีก รู้สึกละอายใจที่คราวแรกสุดเคยไปคิดอะไรนอกคอกไว้ เพราะรู้ว่าคุมจิตใจตนเองไม่ได้ ฟุ้งซ่านมากในปีที่แล้ว หลวงพ่อท่านก็รู้และมีเมตตาสอนเป็นอย่างดี
หนึ่งปีที่ผ่านมา ก็ฟังซีดีที่ท่านสอนมาตลอด แผ่นหนึ่งก็หลายเที่ยวแล้ว
ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าตัวเองมีความก้าวหน้าพอจะไปหรือยัง คิดว่าถ้าจะไปกราบหลวงพ่อ ก็คงจะเหมือนเดิมคือตั้งใจจะไปทำบุญกับท่าน อยากจะไปช่วยลงเงินในการเผยแผ่ธรรมะของหลวงพ่อ แต่เรื่องปัญหานั้น ผมยังไม่มีคำถามอะไรที่จะไปถามท่านอีกในตอนนี้
คงจะพยายามตามรู้จิต ตามรู้กายไปเรื่อยๆ
Tuesday, September 20, 2005
Car and fuel price in Thailand
Earlier this year, it looked like to be another great year for cars' companies in Thailand. Motor sales had been up, until a recent surge in oil price slowed them down. Until 6 months ago, one of hot sale cars is a "SUV" (not really a SUV, but legally a modified pick-up truck) from Toyota called Fortuner, at 3000 vehicles per month. It 's said to be assembled in the Philippines. Its gasoline engine version uses a 6 cylinder 2.7 liter engine which sure to suck up fuel real fast. A diesel version use a 3.0 liter engine and cost more : but people were in a waiting list for 3 month before getting it. I suppose by this time, due to high oil price, their sale must have been cooled down.
I read from Business Week magazine yesterday: an article said that with current technology, car companies can squeeze the fuel effiency to save up to 30% more. Perhaps I should wait at least a year or two before buying a new generation of more fuel-efficient car. I believe car companies, in response to more customers who will want to save money on fuel, will start churning them out from assembly lines in about 2 years.
I read from Business Week magazine yesterday: an article said that with current technology, car companies can squeeze the fuel effiency to save up to 30% more. Perhaps I should wait at least a year or two before buying a new generation of more fuel-efficient car. I believe car companies, in response to more customers who will want to save money on fuel, will start churning them out from assembly lines in about 2 years.
Sunday, September 18, 2005
ลาก่อน คอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่ผมซื้อ
เมื่อเสาร์วานนี้ ผมรวบรวมของเก่าบางส่วนที่บ้าน เพื่อไปบริจาคให้วัดสวนแก้ว ที่หลวงพ่อพยอม กัลยาโณ เป็นเจ้าอาวาส ในบรรดาของที่บริจาคให้ไปนั้น ที่ค่อนข้างจะอาลัยเล็กน้อย ก็คือ คอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่ผมซื้อ
ผมซื้อเจ้าเครื่องนี้เมื่อ ๒๐ ปีก่อน เป็นเครื่อง 80286 ชนิด 8/16 bit ยี่ห้อ Wyse มีความจำ 256K ฮาร์ดดิสก์ 20 MB (เทียบกับเครื่อง Mac ผมตอนนี้ 2 GB RAM สองซีพียู G5 64 bit ฮาร์ดดิสก์ 160 GB ผิดกันแยะ) ตอนเรียนเอกอยู่ อุตส่าห์เก็บเงินซื้อ รวมก็คงจะตกสามพันเหรียญได้ละมัง
เรียนพิมพ์สัมผัสก็จากเครื่องนี้ ใช้พิมพ์ thesis ด้วยเครื่องนี้ ตอนเรียนจบก็ยังแพ็คลงเรือกลับมาจากอเมริกา เอามาให้ลูกศิษย์ใช้ในห้องแล็บที่กรุงเทพฯอยู่หลายปี ก่อนจะไวรัสเล่นงาน และไม่ได้ใช้มาสิบกว่าปีแล้ว กระนั้นก็ยังเก็บไว้เป็นที่ระลึก มาคราวนี้ตัดใจบริจาคไปเสีย ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้อยากจะเป็นไว้เป็นของโบราณ แต่คราวนี้เปลี่ยนใจ หลังมาทำวิปัสนามาบ่อยขึ้น
หวังใจว่าคนคงจะเอาไปรีไซเคิล น่าจะเป็นประโยชน์กว่าเก็บไว้ เพราะเครื่องรุ่นเก่าโลหะหนามาก (มอร์นิเตอร์เก่าน่ะทิ้งไปนานแล้ว)
ที่ตัดใจได้ เพราะเห็นตามพุทธโอวาสว่า สังขารทั้งหลายย่อมมีการเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา และยิ่งมาประจวบกับช่วงนี้เป็นครบรอบที่สำคัญในทางส่วนตัว ผมก็ยิ่งเห็นสมควรเลิกยึดติดในวัตถุภายนอก ไม่อยากเสียดายอะไรอีก บริจาคไปเสีย ยังได้บุญ ดีกว่าขายเองไปกับซาเล้ง
วันนั้นขับรถเก๋งขนของไปวัดเอง ไปกลับ ก็ ช.ม. ครึ่ง กะว่าราวๆ ๗๐ กม. คงเป็นค่าน้ำมันเสีย ๒๐๐ บาท ถือว่าทำบุญ ได้หนังสือของหลวงพ่อมาอ่านสองเล่ม กะโปสเตอร์เตือนสติเล็กๆมาให้ลูก
ผมซื้อเจ้าเครื่องนี้เมื่อ ๒๐ ปีก่อน เป็นเครื่อง 80286 ชนิด 8/16 bit ยี่ห้อ Wyse มีความจำ 256K ฮาร์ดดิสก์ 20 MB (เทียบกับเครื่อง Mac ผมตอนนี้ 2 GB RAM สองซีพียู G5 64 bit ฮาร์ดดิสก์ 160 GB ผิดกันแยะ) ตอนเรียนเอกอยู่ อุตส่าห์เก็บเงินซื้อ รวมก็คงจะตกสามพันเหรียญได้ละมัง
เรียนพิมพ์สัมผัสก็จากเครื่องนี้ ใช้พิมพ์ thesis ด้วยเครื่องนี้ ตอนเรียนจบก็ยังแพ็คลงเรือกลับมาจากอเมริกา เอามาให้ลูกศิษย์ใช้ในห้องแล็บที่กรุงเทพฯอยู่หลายปี ก่อนจะไวรัสเล่นงาน และไม่ได้ใช้มาสิบกว่าปีแล้ว กระนั้นก็ยังเก็บไว้เป็นที่ระลึก มาคราวนี้ตัดใจบริจาคไปเสีย ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้อยากจะเป็นไว้เป็นของโบราณ แต่คราวนี้เปลี่ยนใจ หลังมาทำวิปัสนามาบ่อยขึ้น
หวังใจว่าคนคงจะเอาไปรีไซเคิล น่าจะเป็นประโยชน์กว่าเก็บไว้ เพราะเครื่องรุ่นเก่าโลหะหนามาก (มอร์นิเตอร์เก่าน่ะทิ้งไปนานแล้ว)
ที่ตัดใจได้ เพราะเห็นตามพุทธโอวาสว่า สังขารทั้งหลายย่อมมีการเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา และยิ่งมาประจวบกับช่วงนี้เป็นครบรอบที่สำคัญในทางส่วนตัว ผมก็ยิ่งเห็นสมควรเลิกยึดติดในวัตถุภายนอก ไม่อยากเสียดายอะไรอีก บริจาคไปเสีย ยังได้บุญ ดีกว่าขายเองไปกับซาเล้ง
วันนั้นขับรถเก๋งขนของไปวัดเอง ไปกลับ ก็ ช.ม. ครึ่ง กะว่าราวๆ ๗๐ กม. คงเป็นค่าน้ำมันเสีย ๒๐๐ บาท ถือว่าทำบุญ ได้หนังสือของหลวงพ่อมาอ่านสองเล่ม กะโปสเตอร์เตือนสติเล็กๆมาให้ลูก
Tuesday, September 13, 2005
I 've got Thailand's new chip-embedded e-passport
Recently I just went to MFA 's Consular Department at Chang Wattana road to applied for a new passort. Now all the newly issued Thailand passports would be e-passports, which means they are embedded with an electronic security chip. I heard Thailand was the first country in Asia to use this technology. These new passports will be valid for only 5 years, and are not renewable, in other words, only new passports will be issued. I guess that the chips probably use one-way encryption algorithm. Facial figure and finger prints would be kept in the chip inside the passport book as well for automatic immigration processing at Thailand's port of entry / exit.
When I went to the Consular Department in one mid morning, I had to take a wait in a line and later getting a queue slip with printed number on it (mine was almost 600) : the print out also indicated that there was a long queue of 300 people waiting before me. I then had to proceed to wait in a waiting lounge for about 2 hr to wait for my turn. By the way, now only a citizen ID is needed, no other document required. Once it 's my turn to contact an officer inside, there are 2 dozens of kiosks for simutaneous processing of many applications, it took only a few minutes to finish my electronic application, online criminal background check, and authorization. First the lady swiped my citizen ID card in, and download all my information from the Ministry of Interior 's database, including my old picture. The only time consuming step was a few repetitive fingers' scans. I also was taken a picture by a digital camera and the image would then be printed in the new passport. After the some 10 minutes or so session, I then paid 1000 Baht for the fee and came out. The passport would be ready for pick up in only 2 days.
When I went to the Consular Department in one mid morning, I had to take a wait in a line and later getting a queue slip with printed number on it (mine was almost 600) : the print out also indicated that there was a long queue of 300 people waiting before me. I then had to proceed to wait in a waiting lounge for about 2 hr to wait for my turn. By the way, now only a citizen ID is needed, no other document required. Once it 's my turn to contact an officer inside, there are 2 dozens of kiosks for simutaneous processing of many applications, it took only a few minutes to finish my electronic application, online criminal background check, and authorization. First the lady swiped my citizen ID card in, and download all my information from the Ministry of Interior 's database, including my old picture. The only time consuming step was a few repetitive fingers' scans. I also was taken a picture by a digital camera and the image would then be printed in the new passport. After the some 10 minutes or so session, I then paid 1000 Baht for the fee and came out. The passport would be ready for pick up in only 2 days.
Thursday, September 08, 2005
ผังความคิด หรือ มายด์แม็ป mind map
อาทิตย์ที่แล้วที่ทำงานผมมีการสัมมนา เพื่อพัฒนาองค์กร ได้ไปเชิญ อจ.ธัญญา ผลอนันต์ มาอบรมเรื่อง มายด์แม็ป (Mind map) ความจริงผมเคยอ่านหนังสือของท่านมาแล้วหลายปีก่อน
ลองๆดูแต่ก็ไม่ได้ใช้เท่าไร ทั้งๆที่รู้ว่ามีประโยชน์ ได้อบรมกับตัวจริงก็เป็นการทบทวนอีกครั้ง ได้ประโยชน์ดี คงจะได้ใช้ละทีนี้
อีกสองสามวันต่อมา มติชนลงเป็นสกูป อาจารย์บอกว่าปีนี้ดูท่าจะเปิดได้ถึง ๒๐๐ หลักสูตร เห็นได้ชัดว่า รู้จักกันมากขึ้น แม้ใน โรงเรียนประถมก็มีเรียนตอนนี้
ลองๆดูแต่ก็ไม่ได้ใช้เท่าไร ทั้งๆที่รู้ว่ามีประโยชน์ ได้อบรมกับตัวจริงก็เป็นการทบทวนอีกครั้ง ได้ประโยชน์ดี คงจะได้ใช้ละทีนี้
อีกสองสามวันต่อมา มติชนลงเป็นสกูป อาจารย์บอกว่าปีนี้ดูท่าจะเปิดได้ถึง ๒๐๐ หลักสูตร เห็นได้ชัดว่า รู้จักกันมากขึ้น แม้ใน โรงเรียนประถมก็มีเรียนตอนนี้
Friday, September 02, 2005
เริ่มเขียนหนังสือเล่มแรก ? จะรอดสันดอนไหมเรา ?
เพื่อนเก่าผมที่เชียงใหม่เคยพยายามกระตุ้นต่อมความอยากของผมให้เขียนหนังสือมาหลายครั้ง เท่าที่ผ่านมายังไม่สำเร็จ มาวันนี้ผมเกิดเปลี่ยนใจกระทันหัน เผอิญมีสิ่งกระตุ้นมาให้ทำ คือเห็นว่า น่าจะมีกลุ่มคนไทยบางคนอาจจะอยากอ่านเรื่องซีเรียส(วิชาการ) ที่ผมอยากจะเขียน ผมมีเวลาคงแค่อาทิตย์เดียว จะลองดูสักตั้งว่าได้สักกี่หน้า เอาเป็นเล่มบางๆแล้วกันนะ กะว่า คนอ่านจบภายใน ๑ ชม. ชื่อหนังสือ ตั้งไว้เล่นๆแล้ว
(ขออภัย เปลี่ยนใจ ยังไม่บอก)
นี่พิมพ์เข้า text editor ไปแล้วเกือบ ๕๐ บรรทัดนะเช้าวันนี้
จะดูตัวเองว่า โครงการนี้ (ผมตั้งชื่อเองว่า โครงการ ๒๐ ชม. มักน้อย งานเขียนใหญ่ๆอาจจะทำให้ตัวเองกลัวไป และอาจจะเสร็จยาก เอาเล็กๆไว้ก่อนดีกว่า) อาทิตย์หน้า งานนี้จะไปได้สักกี่น้ำ จะเสร็จไหม
หลังจากนั้นไป หลังอาทิตย์หน้าผมคงจะไม่ว่างอีก เพราะมีเปเปอร์วิชาการที่ต้องเขียนคาอยู่แยะแล้ว ยังมีงานแปล ที่ไปตกปากรับคำไว้อีก จะยุ่งไปอีก อย่างน้อย ๖ เดือนแน่ะ
(ขออภัย เปลี่ยนใจ ยังไม่บอก)
นี่พิมพ์เข้า text editor ไปแล้วเกือบ ๕๐ บรรทัดนะเช้าวันนี้
จะดูตัวเองว่า โครงการนี้ (ผมตั้งชื่อเองว่า โครงการ ๒๐ ชม. มักน้อย งานเขียนใหญ่ๆอาจจะทำให้ตัวเองกลัวไป และอาจจะเสร็จยาก เอาเล็กๆไว้ก่อนดีกว่า) อาทิตย์หน้า งานนี้จะไปได้สักกี่น้ำ จะเสร็จไหม
หลังจากนั้นไป หลังอาทิตย์หน้าผมคงจะไม่ว่างอีก เพราะมีเปเปอร์วิชาการที่ต้องเขียนคาอยู่แยะแล้ว ยังมีงานแปล ที่ไปตกปากรับคำไว้อีก จะยุ่งไปอีก อย่างน้อย ๖ เดือนแน่ะ
New scientific computational clustered servers for Thailand
I heard a news that a major life-science research institute in Thailand, BIOTEC, would get a budget to buy a new cluster of servers, with some 80 CPUs for research. The reason is that many Thai researchers have wanted a machine to conduct protein and drug modeling study.
That would be great news to a number of Thai life-scientists, since we do not have sufficient computational resource inside the country a moment. In the near future, any Thai researchers who might need to do mathematically intensive computer modeling or simulations might be able to use it in 6 months from now.
Only keep 2 fingers crossed though: now it is close to the end of the Thai government's fiscal year. The procurement process must be finish before the end of September or this blog entry would be no longer true.
Somehow the notification by the Central Comptroller General's Office came almost too late, quite difficult to set up a procurement process under all the redtapes.
It is either because people in the MOF were reluctant to give us money to spend and thus did not give us a green light before hand or they were working really really slow. We wiill see how thing turns out by the end of the month and will post again.
That would be great news to a number of Thai life-scientists, since we do not have sufficient computational resource inside the country a moment. In the near future, any Thai researchers who might need to do mathematically intensive computer modeling or simulations might be able to use it in 6 months from now.
Only keep 2 fingers crossed though: now it is close to the end of the Thai government's fiscal year. The procurement process must be finish before the end of September or this blog entry would be no longer true.
Somehow the notification by the Central Comptroller General's Office came almost too late, quite difficult to set up a procurement process under all the redtapes.
It is either because people in the MOF were reluctant to give us money to spend and thus did not give us a green light before hand or they were working really really slow. We wiill see how thing turns out by the end of the month and will post again.
Thai translation of a 2000 years old Sanskrit epic, Asvaghosa's Buddhacarita (Acts of the Buddha)
Yesterday, I attended a bioinformatics workshop at Chulalongkorn University Faculty of Science, my alma mater, and during a lunch break I visited my old favorite CU Bookstore, main branch, at Sala Prakiew inside the campus.
(It 's next to the swimming pool which you could see from a Google map 's satellite image of Chula in Bangkok as a tiny bright blue rectangle.)
I stumbled upon several Thai books which I quickly bought. The one worth mentioning today is the Thai translation of a 2000 year old Sanskrit epic, Asvaghosa's Buddhacarita (Acts of the Buddha) or พุทธจริต in Thai.
by Dr. Samniang Lermsai, of Silpakorn University. He translated the entire 28 sections of this great Sanskrit epic poetry, from both Sanskrit and English.
(Sections 15-28 which were long lost over a millenium had to be back translated from Chinese into English and Hindi: the book was earlier translated from Sanskrit into Chinese and Tibetan around 7th Buddhist century.)
Surely, I have no sufficient knowledge to critically read his translation.
I just read a few dozen pages and so far I love it. The Thai language content is elegant. The price is not expensive, only 250 Baht for a decent size book (18.7 x 26 cm, and 2 cm thick).
It 's amazing that most Thai Buddhist people probably never heard of this title. We mostly know more of Greek epics, perhaps from Hollywood's movies like Troy and Alexander.
This kind of book is hard to sell, except to a few bookworms like me. And if it is sold out in a few years it it probably out, period. So I can't help but spend some of my hard earned cash buying such books like it.
(On this point, I have recently told myself, I have got to start saving more seriously for my retirement rather than keep buying books, otherwise when I 'm retired from work and decide go to monastery my kid would not become a mulimillionaire. :-) )
I realize I am an eccentric person, perhaps not characteristically nerdy, althought my nerd scale was 95 (or 98, I am not sure) out of 100 ! And you know, eccentric people don't read books that laypeople do. ;-)
(It 's next to the swimming pool which you could see from a Google map 's satellite image of Chula in Bangkok as a tiny bright blue rectangle.)
I stumbled upon several Thai books which I quickly bought. The one worth mentioning today is the Thai translation of a 2000 year old Sanskrit epic, Asvaghosa's Buddhacarita (Acts of the Buddha) or พุทธจริต in Thai.
by Dr. Samniang Lermsai, of Silpakorn University. He translated the entire 28 sections of this great Sanskrit epic poetry, from both Sanskrit and English.
(Sections 15-28 which were long lost over a millenium had to be back translated from Chinese into English and Hindi: the book was earlier translated from Sanskrit into Chinese and Tibetan around 7th Buddhist century.)
Surely, I have no sufficient knowledge to critically read his translation.
I just read a few dozen pages and so far I love it. The Thai language content is elegant. The price is not expensive, only 250 Baht for a decent size book (18.7 x 26 cm, and 2 cm thick).
It 's amazing that most Thai Buddhist people probably never heard of this title. We mostly know more of Greek epics, perhaps from Hollywood's movies like Troy and Alexander.
This kind of book is hard to sell, except to a few bookworms like me. And if it is sold out in a few years it it probably out, period. So I can't help but spend some of my hard earned cash buying such books like it.
(On this point, I have recently told myself, I have got to start saving more seriously for my retirement rather than keep buying books, otherwise when I 'm retired from work and decide go to monastery my kid would not become a mulimillionaire. :-) )
I realize I am an eccentric person, perhaps not characteristically nerdy, althought my nerd scale was 95 (or 98, I am not sure) out of 100 ! And you know, eccentric people don't read books that laypeople do. ;-)
300 GB Hard disk for Mac in Thailand
For my office's destop (a 64-bit dual G5 CPU Power Mac), I am thinking of buying an addional 300 GB hard disk. The 160 GB hard disk that came with the 1 month old machine is now about half full with my scientifically computed data.
The cost for a 300 GB Seagate internal hard drive in Thailand is around 9200 Baht now (monetary exchange rate of around 41 Baht to 1 USD), external one is more expensive. Considering that Seagate hard disks are assembled in Thailand, perhaps I should buy this one soon.
I suppose I can add up to 2 internal hard disks so I can add at least 600 GB of storage inside the tower. Sure, I have seen reviews of 400 GB hard disks in the Net, but they are pricey
and I have not seen them advertised from any commercial website in Thailand. I have not been to Pantip Plaza in person lately. The last time I went there, some hawkers of unrated CD called me Pa, as in "Pa, would you like some Po (revealed one)?", and I did't like that. I also do not like to see hundreds of foreign tourists who flock to the place daily to hunt for illegal softwares, it 's a shame for the country.
The cost for a 300 GB Seagate internal hard drive in Thailand is around 9200 Baht now (monetary exchange rate of around 41 Baht to 1 USD), external one is more expensive. Considering that Seagate hard disks are assembled in Thailand, perhaps I should buy this one soon.
I suppose I can add up to 2 internal hard disks so I can add at least 600 GB of storage inside the tower. Sure, I have seen reviews of 400 GB hard disks in the Net, but they are pricey
and I have not seen them advertised from any commercial website in Thailand. I have not been to Pantip Plaza in person lately. The last time I went there, some hawkers of unrated CD called me Pa, as in "Pa, would you like some Po (revealed one)?", and I did't like that. I also do not like to see hundreds of foreign tourists who flock to the place daily to hunt for illegal softwares, it 's a shame for the country.
Laptops' price trend for 2005
I just read BW magazine (Asian edition) few days ago: one article covering laptop computers mentioned that the average price for a laptop in 2005 (in the USA, I suppose) would be about USD 700, on in Thai Baht (THB) about 29,000 Baht, compare to about USD 1,000 or about THB 41,000 Baht last year (2004). Frankly I have seen laptops in that quoted price range in Bangkok Thailand as well, but all of them are of poor quality so I am not sure how the word average was defined in that article. Naturally, the prices vary with specifications and quality, not to mention the OS. Thus I think, for the price-conscious buyers, it still falls into "you get what you pay" situation. The dropping prices mentioned are undoubtedly the machines running the aging Windows XP operating system (3 yr old already). This is especially true considering that the price of an Apple Macintosh laptop with the latest OS-X Tiger does not drop that much. But considering the price of a Mac laptop, the price is higher. But one must also remember that the Mac's price includes the price of the OS (OS-X Tiger) plus some add-on softwares, not to mentioned a great GUI design and user experience.
I am not a Mac's fanatic, nor am I a newbie to computer, having used several ones for the past 20+ years. (The first PC
I encountred and unpacked it alone from the box for my lab (and even RTFM) was a Wyse 8088 PC (with 10 MB hard disk, I think), using MS-DOS 2.0 and came with BASIC interpreter.) I have used most of the OSes, such as AT&T Unix, Solaris (Unix from Sun), Digital Unix, many Linux distributions, several versions of DOS and Windows, Mac system 6, and lastly Mac OS-X 10.4 Tiger, so I know which is good.
Considering the total price, if you include the price of legitimate copy of OS such as WinXP into the laptop, the price difference between a Windows laptop and Mac laptop is not too much. But buying a Mac laptop one gets a much better user interface and simplification. Definitely, now I am thinking of buying a new Mac laptop to replace my 3 yr old (Thai assembled) "toaster" in the next few months. That toaster is a laptop running a 32 bit WinME OS. (Legal copy, of course.) It now hangs often, and this is slow and hot, and when considering an additional fact that I usually have many files opened at the same time, and I also have a number of gigantic files, say some in the size 10 MB - 500 MB (that correct, half a gigabyte a file) Windows programs could not be opened in it. Thus the 32 bit OS is currently useless for me, only a 64 bit Unix-based like Tiger will do. It is amazing that most people are sort of like a frog sitting covered inside a coconut shell, as a Thai adage says, that they never saw a horizon beyond Windows. I am not an anti-MicroSoft person. I respect its contributions to the World's progress and I used to use its SW before. However, I choose to use mostly free or open-source softwares and using a Unix machine opens that possibility well. Most people never realize that situation.
I am not a Mac's fanatic, nor am I a newbie to computer, having used several ones for the past 20+ years. (The first PC
I encountred and unpacked it alone from the box for my lab (and even RTFM) was a Wyse 8088 PC (with 10 MB hard disk, I think), using MS-DOS 2.0 and came with BASIC interpreter.) I have used most of the OSes, such as AT&T Unix, Solaris (Unix from Sun), Digital Unix, many Linux distributions, several versions of DOS and Windows, Mac system 6, and lastly Mac OS-X 10.4 Tiger, so I know which is good.
Considering the total price, if you include the price of legitimate copy of OS such as WinXP into the laptop, the price difference between a Windows laptop and Mac laptop is not too much. But buying a Mac laptop one gets a much better user interface and simplification. Definitely, now I am thinking of buying a new Mac laptop to replace my 3 yr old (Thai assembled) "toaster" in the next few months. That toaster is a laptop running a 32 bit WinME OS. (Legal copy, of course.) It now hangs often, and this is slow and hot, and when considering an additional fact that I usually have many files opened at the same time, and I also have a number of gigantic files, say some in the size 10 MB - 500 MB (that correct, half a gigabyte a file) Windows programs could not be opened in it. Thus the 32 bit OS is currently useless for me, only a 64 bit Unix-based like Tiger will do. It is amazing that most people are sort of like a frog sitting covered inside a coconut shell, as a Thai adage says, that they never saw a horizon beyond Windows. I am not an anti-MicroSoft person. I respect its contributions to the World's progress and I used to use its SW before. However, I choose to use mostly free or open-source softwares and using a Unix machine opens that possibility well. Most people never realize that situation.
Subscribe to:
Posts (Atom)