Friday, August 26, 2005

เรื่องเบาสมองของลูกสาวผม

"เด็กหญิงเอ้" (นามสมมุติ) เป็นเด็ก ป. ๕ อายุ ๑๐ ขวบ แกเป็นเด็กเรียนดี สอบได้ที่ ๑ เป็นประจำทุกเทอม มาตั้งแต่ อนุบาล มาจนถึงปัจจุบัน

เมื่อเร็วๆนี้มีกิจกรรมสัปดาห์วิทยาศาสตร์ที่โรงเรียนของเธอ คุณครูให้จัดทำนิทรรศการ เธอกับเพื่อนๆก็ทำ เทียนเจล ออกแสดง และขายหารายได้เล็กๆน้อยๆ คุณแม่ของเธอใจดี นอกจากจะเหนื่อยขึึ้นรถเมล์ช่วยไปซื้อของเตรียมการให้ตั้งหลายรอบ ยังช่วยลองผิดลองถูกที่บ้าน และ ช่วยสอนบรรดาเด็กๆที่นัดมาทำกิจกรรมที่บ้านเธอด้วย และที่สำคัญ คุณแม่หมดเงินไปกับการนี้ไปกว่า ๗๐๐ บาท คุณแม่เด็กคนอื่นไม่ได้จ่าย

เด็กหญิงเอ้ตื่นเต้นกับงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์มาก ตั้งแต่เช้าก่อนไปโรงเรียน และยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก เมื่อเธอพบว่าเธอขายของในงานที่โรงเรียนได้เป็นกอบเป็นกำ ได้เงินมาตั้ง สี่ร้อยกว่าบาท คุณครูของเธอที่โรงเรียนก็ดีใจด้วย แต่ก็ปรามเธอว่า ได้เงินแล้วต้องแบ่งให้เพื่อนด้วย เด็กหญิงเอ้ก็เลยต้องจำใจแบ่งเงินรายได้ให้เพื่อนรักของเธอไปครึ่งหนึ่ง เป็นเงินราวสองร้อยกว่าบาท เธอได้เงินกลับมาบ้านสองร้อยกว่าบาทด้วยความยินดี เมื่อกลับมาบ้านบอกแม่ โดยยิ้มอวดว่่าเธอได้เงินเยอะแยะ

คุณแม่ได้ยินก็ทำหน้าปูเลี่ยนๆ ทำใจเย็นอธิบายบอกว่า อ้าว เพื่อนหนูไม่ได้ออกสตางค์สักกะบาทแบ่งไปให้ทำไม ยังไม่ได้หักต้นทุนเลย แม่ลงทุนไปให้ก่อน ๗๐๐ บาท ยังตอนเช้านั้น หนูแคะกระปุกเอาเหรียญไปเป็นสตางค์ทอนเพื่อนอีก ๑๐๐ บาท ตกลงเป็นต้นทุนราว ๘๐๐ บาท ขายของได้เงินมายังไม่ทันหักต้นทุน ยังแบ่งไปให้เพื่อนอีกครึ่งหนึ่ง ทำไมลูกไม่เข้าใจเรื่องต้นทุน และกำไร เลยเหรอ

เด็กหญิงเอ้ ได้ฟังก็ทำหน้าแงร้องไห้ ก็หนูไม่รู้ ตอนจบเรื่องนี้เป็นอย่างไร ผมไม่ได้ไปตามหรอกครับ คิดว่าเด็กได้เข้าใจเรื่องกำไรขาดทุนมากขึ้น คุณแม่ลงทุนหนักไปหน่อย ก็คงโอเค

ความเห็นของผมต่อเรื่องจริงเบาสมองเรื่องนี้ก็คือว่า ผมคิดว่า หลักสูตรคณิตศาสตร์ประถม ขนาดปรับปรุงใหม่แล้ว ก็สงสัยจะยังมีปัญหาอยู่นะ ขนาดเด็กเรียนดีก็ยังไม่เข้าใจเรื่องบวกลบธรรมดาดีพอจะเอามาใช้ในชีวิตประจำวันได้เลย ฝากคุณครูที่มาอ่านเจอไว้ด้วยแล้วกันนะครับ

อ้อ เด็กหญิงเอ้นี่คือ สมญานาม ของลูกสาวผมเองครับ เพราะชอบ "โอเอ้ศาลาราย" อยู่เรื่อยๆ (ตัั้งแต่โตมา ผมไม่เคยได้ยินแม่ผมพูดว่า โอ้เอ้วิหารราย เหมือนที่ว่าในพจนานุกรม)

ตอนแรกคิดว่าจะ ครอสโพสต์ไปที่อื่นด้วย ไปๆมา ตอนนี้ผมมี ๓ บล๊อกแล้ว แต่เปลี่ยนใจ

No comments: