ไปได้หนังสือมาสองสามเล่มวันนี้ แต่ที่เริ่มอ่านก่อนวันนี้ก็คือ
คนเจ้าปัญญา แปลโดย พรรณี ชูจิรวงศ์
แปลจาก The Noticer by Andy Andrews
เขาเขียนไว้ที่ปกว่า เป็น คู่มือเปิดมุมมองให้กว้างและสร้างทัศนคติเชิงบวก
ผมอ่านแล้วคิดว่าดีมากๆ ตอนนี้ยังอ่านไม่จบ แต่ก็เอามาประยุกต์ใช้กับตัวได้แล้ว คิดว่าจะแก้มุมมองที่ยังไม่ค่อยถูกต้องของตัวเองบางอย่างได้
ปกิณกะ ไทย I posted about interesting items information I found, write my views on books I read, education, science and technology, Buddhism and meditation, economic and business, music, and movies, country and rural development. Articles are in English or Thai.
Wednesday, March 31, 2010
Saturday, March 20, 2010
Current scenario
I went out to a barber today. They tuned their TV onto a Red-shirt centric channel. Here is my opinions a few hours later.
------
Most people nowadays live in their self-created illusions. People chose to believe based on their own benefits and profitability, rather that what is morally right or wrong for the society. They even tried to convince themselves with advertisements and propaganda.
This is true for commercials where people, esp. teenagers, were fed to their eyes and ears daily with attractive advertisements, at times with unwise or non-utilitarian values, only to draw money as much as possible from their pockets.
What is said above is also true for political scenario. People were fed with falsified information all day long for months by some biased TV and radio stations, which perhaps operated from money given by corrupted and convicted politicians, and the government did not try enough to rectify things. People were also given biased opinions from "invited experts" on TV, who sometimes incited hatred among people of different opinions. Astonishingly, a number of people seems to enjoy watching the brainwashing by some media. Some people enjoy getting paid for their joining of political rallies: that 's why some of them took sides. Since many people are paid by money from dubious sources, I wonder where their dignity are and what is their moral value. They might be financially poor, but they don't need to be poor on their esteem. Perhaps this is the outcome of our faulty education, and our faulty money-based democratic system, not a virtue-based system. This is what I saw these days in the country.
Protestors said they want democracy whereas it is already right there but they choose not to see it. Weren't it for existing democracy many people would not be able to come out to protest in the past few years. Now that many poople who are abusing their excessive liberty by stepping over the liberty of other people, I am afraid that there might be one day that liberty in our society might be taken away for the sake of a more social stability. This is karma, "the intentions" of people of various factions, that would bear results, bad or worse, whether they consciously know it or not.
Let's see how the situation develops in the next few months. I 'll just observe it as a nonpartisan, although my mind took side with morally-right people.
------
Most people nowadays live in their self-created illusions. People chose to believe based on their own benefits and profitability, rather that what is morally right or wrong for the society. They even tried to convince themselves with advertisements and propaganda.
This is true for commercials where people, esp. teenagers, were fed to their eyes and ears daily with attractive advertisements, at times with unwise or non-utilitarian values, only to draw money as much as possible from their pockets.
What is said above is also true for political scenario. People were fed with falsified information all day long for months by some biased TV and radio stations, which perhaps operated from money given by corrupted and convicted politicians, and the government did not try enough to rectify things. People were also given biased opinions from "invited experts" on TV, who sometimes incited hatred among people of different opinions. Astonishingly, a number of people seems to enjoy watching the brainwashing by some media. Some people enjoy getting paid for their joining of political rallies: that 's why some of them took sides. Since many people are paid by money from dubious sources, I wonder where their dignity are and what is their moral value. They might be financially poor, but they don't need to be poor on their esteem. Perhaps this is the outcome of our faulty education, and our faulty money-based democratic system, not a virtue-based system. This is what I saw these days in the country.
Protestors said they want democracy whereas it is already right there but they choose not to see it. Weren't it for existing democracy many people would not be able to come out to protest in the past few years. Now that many poople who are abusing their excessive liberty by stepping over the liberty of other people, I am afraid that there might be one day that liberty in our society might be taken away for the sake of a more social stability. This is karma, "the intentions" of people of various factions, that would bear results, bad or worse, whether they consciously know it or not.
Let's see how the situation develops in the next few months. I 'll just observe it as a nonpartisan, although my mind took side with morally-right people.
คนกับการสูญพันธุ์ของสัตว์ต่างๆ
ข่าวบอกว่า ประเทศต่างๆตกลงกันไม่ได้ว่าจะให้มีการห้ามล่าปลาทูน่าครีบน้ำเงิน (Bluefin tuna) ซึ่งเป็นสัตว์ที่คนในญี่ปุ่นถือว่าเป็นอาหารอันโอชะ คือ ใช้ทำ ปลาดิบ (sushi) ก็เลยมีการล๊อบบี้กันอย่างหนัก หลายประเทศในยุโรปที่มีกองเรือจับปลาขนาดใหญ่ก็มีเอี่ยวด้วย ก็เลยยังไม่มีการห้ามล่า อย่างน้อยก็ปีนี้ สัตว์ชนิดนี้ใกล้สูญพันธุ์เต็มทีแล้ว ตัวหนึ่ง ราคาหลายแสนยูโรทีเดียว
เป็นที่น่าสังเกตว่า คนเป็นตัวทำให้สัตว์ต่างๆสูญพันธุ์ และทั้งนี้ เป็นเรื่องของผลประโยชน์ของคนล้วนๆเลย เพราะคนจำนวนมากหาประโยชน์จากชีวิตของสัตว์ กองเรือประมงต่างๆจะจับปลาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ได้รายได้สูงสุด (คนจับจะได้เอาเงินไปซื้อของบำเรอกิเลสต่างๆ) ไม่ได้คำนึงเรื่องการจับเพื่อให้ได้เพียงพอเลี้ยงชีพเท่านั้น
ผมไม่ได้ชอบกินปลาดิบ บางคนอาจจะชอบ
เป็นที่น่าสังเกตว่า คนเป็นตัวทำให้สัตว์ต่างๆสูญพันธุ์ และทั้งนี้ เป็นเรื่องของผลประโยชน์ของคนล้วนๆเลย เพราะคนจำนวนมากหาประโยชน์จากชีวิตของสัตว์ กองเรือประมงต่างๆจะจับปลาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ได้รายได้สูงสุด (คนจับจะได้เอาเงินไปซื้อของบำเรอกิเลสต่างๆ) ไม่ได้คำนึงเรื่องการจับเพื่อให้ได้เพียงพอเลี้ยงชีพเท่านั้น
ผมไม่ได้ชอบกินปลาดิบ บางคนอาจจะชอบ
Thursday, March 18, 2010
ความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์บาลี
เพื่อไม่ให้ตกกระแส ได้ความรู้ด้วย ก็ต้องตามไปอ่านลิงก์ข้างบน
แม้ว่ากระแสบางอย่างอาจจะทำให้กระแสจิตตกก็ตาม
แม้ว่ากระแสบางอย่างอาจจะทำให้กระแสจิตตกก็ตาม
Monday, March 15, 2010
วิมุติมรรค
วิมุติมรรค
วิมุติมรรคเป็นชื่อของหนังสือที่ดีมาก ไม่ใช่เล่มเดียว แต่สองเล่มทีเดียว แต่งโดยผู้ทรงคุณธรรมสูงสองท่าน สมควรที่ผู้ใฝ่ปัญญาจะได้อ่าน ทั้งสองเล่ม
วิมุติมรรค เล่มแรก เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ บางๆ (เนื้่อหามีแค่ ๕๙ หน้า) เขียนโดย พระอาจารย์ ปราโมทย์ ปาโมชฺโช แห่ง สำนักสงฆ์ สวนสันติธรรม อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เป็นการสรุปแนวทางการปฏิบัติทั้งวิปัสสนากัมมัฏฐานทั้งทางทฤษฎี (พระอภิธรรม) และปฏิบัติ โดยย่อแต่เนื้อหาอัดแน่น ตรงประเด็น ถ้าผู้อ่านนำไปปฏิบัติก็จะได้ผลเอง ตามที่ผมได้ผลมากับตัวเอง เล่มนี้เป็นหนังสือแจกฟรี ไม่มีขาย และถ้าจะมีแจกฟรี ก็คงมีแจกที่ สวนสันติธรรม และก็มีฉบับ pdf ให้ดาวน์โหลดได้จากเน็ตด้วย ผู้สนใจคงต้องไปหาลิงก์ใหม่เอาเอง
วิมุติมรรค เล่มที่สอง เป็นหนังสือเล่มขนาดค่อนข้างใหญ่ หนาประมาณ ๒๐๐ หน้า ขนาด A4 ชื่อภาษาไทยเต็มๆคือ วิมุติมรรค ทางแห่งความหลุดพ้น (ภาคปัญญา) รจนาโดย พระอรหันต์ อุปติสสะ เมื่อราวหนึ่งพันห้าร้อยปีมาแล้ว เชื่อกันว่าคัมภีร์เล่มนี้เก่ากว่า วิสุทธิมรรค เสียอีก
หนังสือเล่มนี้ ต้นฉบับเดิมสูญไปแล้ว แต่มีที่โบราณจารย์แปลเป็นภาษาจีนไว้ เมื่อไม่นานมานี้ มีผู้ไปเจอคัมภีร์นี้ในญี่ปุ่น ต่อมาจึงมีผู้แปลจากภาษาจีนเป็นภาษาอังกฤษ และต่อมาจึงมีท่านผู้รู้แปลมาเป็นภาษาไทย เฉพาะส่วนหนึ่ง และให้คำอธิบายไว้ คือ พลตรี น.พ. ชาญ สุวรรณวิภัช ซึ่งถือว่าท่านได้ทำคุณประโยชน์ให้กับคนไทยเป็นอย่างยิ่ง ที่กรุณาแปลคัมภีร์เล่มนี้
คนที่จะชอบอ่านเล่มนี้คือผู้ที่ชอบแนวปริยัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ศึกษาพระอภิธรรมมาบ้างพอสมควร ผมคิดว่า หากผู้อ่านท่านใดเคยศึกษาอภิธรรมจนจบปริจเฉทที่ ๙ แห่ง คัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะมาแล้ว ท่านจะอ่านหนังสือเล่มนี้ได้ด้วยความบันเทิงในธรรม หนังสือภาษาไทยเล่มนี้พิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๕ โดย สำนักพิมพ์ ศยาม บริษัทเคล็ดไทย จำกัด ซื้อได้จากร้านหนังสือธรรมะ เช่น ร้านมหาจุฬาบรรณาคาร ข้างวัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ ปกอ่อน ราคาเล่มละ ๓๐๐ บาท อาจจะมีลดราคาเล็กน้อย
วิมุติมรรคเป็นชื่อของหนังสือที่ดีมาก ไม่ใช่เล่มเดียว แต่สองเล่มทีเดียว แต่งโดยผู้ทรงคุณธรรมสูงสองท่าน สมควรที่ผู้ใฝ่ปัญญาจะได้อ่าน ทั้งสองเล่ม
วิมุติมรรค เล่มแรก เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ บางๆ (เนื้่อหามีแค่ ๕๙ หน้า) เขียนโดย พระอาจารย์ ปราโมทย์ ปาโมชฺโช แห่ง สำนักสงฆ์ สวนสันติธรรม อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เป็นการสรุปแนวทางการปฏิบัติทั้งวิปัสสนากัมมัฏฐานทั้งทางทฤษฎี (พระอภิธรรม) และปฏิบัติ โดยย่อแต่เนื้อหาอัดแน่น ตรงประเด็น ถ้าผู้อ่านนำไปปฏิบัติก็จะได้ผลเอง ตามที่ผมได้ผลมากับตัวเอง เล่มนี้เป็นหนังสือแจกฟรี ไม่มีขาย และถ้าจะมีแจกฟรี ก็คงมีแจกที่ สวนสันติธรรม และก็มีฉบับ pdf ให้ดาวน์โหลดได้จากเน็ตด้วย ผู้สนใจคงต้องไปหาลิงก์ใหม่เอาเอง
วิมุติมรรค เล่มที่สอง เป็นหนังสือเล่มขนาดค่อนข้างใหญ่ หนาประมาณ ๒๐๐ หน้า ขนาด A4 ชื่อภาษาไทยเต็มๆคือ วิมุติมรรค ทางแห่งความหลุดพ้น (ภาคปัญญา) รจนาโดย พระอรหันต์ อุปติสสะ เมื่อราวหนึ่งพันห้าร้อยปีมาแล้ว เชื่อกันว่าคัมภีร์เล่มนี้เก่ากว่า วิสุทธิมรรค เสียอีก
หนังสือเล่มนี้ ต้นฉบับเดิมสูญไปแล้ว แต่มีที่โบราณจารย์แปลเป็นภาษาจีนไว้ เมื่อไม่นานมานี้ มีผู้ไปเจอคัมภีร์นี้ในญี่ปุ่น ต่อมาจึงมีผู้แปลจากภาษาจีนเป็นภาษาอังกฤษ และต่อมาจึงมีท่านผู้รู้แปลมาเป็นภาษาไทย เฉพาะส่วนหนึ่ง และให้คำอธิบายไว้ คือ พลตรี น.พ. ชาญ สุวรรณวิภัช ซึ่งถือว่าท่านได้ทำคุณประโยชน์ให้กับคนไทยเป็นอย่างยิ่ง ที่กรุณาแปลคัมภีร์เล่มนี้
คนที่จะชอบอ่านเล่มนี้คือผู้ที่ชอบแนวปริยัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ศึกษาพระอภิธรรมมาบ้างพอสมควร ผมคิดว่า หากผู้อ่านท่านใดเคยศึกษาอภิธรรมจนจบปริจเฉทที่ ๙ แห่ง คัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะมาแล้ว ท่านจะอ่านหนังสือเล่มนี้ได้ด้วยความบันเทิงในธรรม หนังสือภาษาไทยเล่มนี้พิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๕ โดย สำนักพิมพ์ ศยาม บริษัทเคล็ดไทย จำกัด ซื้อได้จากร้านหนังสือธรรมะ เช่น ร้านมหาจุฬาบรรณาคาร ข้างวัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ ปกอ่อน ราคาเล่มละ ๓๐๐ บาท อาจจะมีลดราคาเล็กน้อย
Saturday, March 13, 2010
Start of unusual days in Bangkok
On Friday, March 12, 2010, about 2/3 or 3/4 of the cars are gone from most streets of Bangkok. In many offices, some workers took leave. It 's also the start of schools' summer vacation so the school and university students are away from campuses. On Friday night, in the inner Bangkok, police started to man several sites that had been protest sites in the past political activities of the city.
By Saturday morning, perhaps 90% of the cars are gone from many streets. Outside the fence of the prime minister office, several hundred meters of concrete barriers were put down. Some platforms which looked like those for rock concerts were darlingly set up by advanced teams of the protestors at key intersections in the inner Bangkok's main boulevards. They also had set up their toilet tents a day in advance. I felt amazed at excessive (so-called) democratic expressions that some group of brainwashed and paid Thais have inflicted on a large number of Thais. This is a bad karma, after all, karma is the intention (by Buddhist definition). I have a feeling today is the start of multi-week long rally. Normal life of many people in the city are disrupted. Funerals cancelled. Many shops closed. Bank branches in some areas are closed. Some roads and bridges closed. Many schools postponed their entrant exam schedules.
My family went ahead with a scheduled cremation of an elder relative today at a temple near the planned protest site. Only close relatives and few close friends dared to come. That was good enough since I expected nobody else except our family to come. Some anti-riot police and red shirt villagers appeared nearby and inside the temple that we had ceremony. After we were done with our business, we drove straight back home. Before sunset, I meditated and made good wishes to all, people and animals, hoping that will help creating positive feeling into hearts of the people and the Gaia.
By Saturday morning, perhaps 90% of the cars are gone from many streets. Outside the fence of the prime minister office, several hundred meters of concrete barriers were put down. Some platforms which looked like those for rock concerts were darlingly set up by advanced teams of the protestors at key intersections in the inner Bangkok's main boulevards. They also had set up their toilet tents a day in advance. I felt amazed at excessive (so-called) democratic expressions that some group of brainwashed and paid Thais have inflicted on a large number of Thais. This is a bad karma, after all, karma is the intention (by Buddhist definition). I have a feeling today is the start of multi-week long rally. Normal life of many people in the city are disrupted. Funerals cancelled. Many shops closed. Bank branches in some areas are closed. Some roads and bridges closed. Many schools postponed their entrant exam schedules.
My family went ahead with a scheduled cremation of an elder relative today at a temple near the planned protest site. Only close relatives and few close friends dared to come. That was good enough since I expected nobody else except our family to come. Some anti-riot police and red shirt villagers appeared nearby and inside the temple that we had ceremony. After we were done with our business, we drove straight back home. Before sunset, I meditated and made good wishes to all, people and animals, hoping that will help creating positive feeling into hearts of the people and the Gaia.
Tuesday, March 09, 2010
ไปได้หนังสือธรรมะมาใหม่
หลายวันก่อนไปบริจาคเลือดที่สภากาชาดมา ขากลับก็เลยแวะสยามสแควร์เพื่อซื้อหนังสือที่ศูนย์หนังสือจุฬา ไปได้หนังสือมาหลายเล่ม (โลภะอีกแล้ว) หนึ่งเล่มที่น่าสนใจคือหนังสือเรื่อง
อนัตตา กับชีวิตที่ทันสมัย
โดย สิริวรุณ
พอเห็นนามปากกาปั๊บก็หยิบมาเลย เพราะเป็นของท่านผู้เคยเป็นอาจารย์ของผมมาเมื่อสามสิบปีก่อน สมัยเรียนอยู่จุฬา ท่านคือ อุบาสิกา ดร.ไพเราะ ทิพย์ทัศน์
เมื่อซื้อมาอ่านแล้วไม่ผิดหวัง สำนวนอาจารย์อ่านแล้ว มีความรู้สึกเหมือนกับว่าอ่านหนังสือปรัชญาของพุทธศาสนามากกว่า แต่ผมเข้าใจดีว่าท่านต้องการเขียนหนังสือเพื่ออธิบายธรรมะ งานเขียนของท่านเหมาะกับคนอ่านที่ชอบหนังสือซีเรียสนิดๆ อธิบายเป็นเรื่องเป็นราว หนังสือของท่านจะไม่ใช่หนังสือธรรมะอ่านแบบเบาๆ สบายๆ แบบอ่านแล้วมีความสุข จะไม่ใช่อย่างนั้น สไตล์การเขียนของท่านเป็นยังงี้มาสามสิบปีแล้ว
ถึงตอนนี้ผมยังอ่านเล่มนี้ไม่จบ ได้แต่เพียงอ่านเป็นส่วนๆไป แต่ก็เท่าที่ผ่านมาตอนนี้ก็เอ็นจอยมาก ตรงจริตกับผม ผมอ่านแล้วภาพของอาจารย์พร้อมรอยยิ้มสมัยเมื่อสามสิบปีก่อนก็ปรากฎขึ้นในใจ หวังว่าวันหนึ่งคงได้เจอและได้ไปกราบอาจารย์อีกครั้งหนึ่ง
อนัตตา กับชีวิตที่ทันสมัย
โดย สิริวรุณ
พอเห็นนามปากกาปั๊บก็หยิบมาเลย เพราะเป็นของท่านผู้เคยเป็นอาจารย์ของผมมาเมื่อสามสิบปีก่อน สมัยเรียนอยู่จุฬา ท่านคือ อุบาสิกา ดร.ไพเราะ ทิพย์ทัศน์
เมื่อซื้อมาอ่านแล้วไม่ผิดหวัง สำนวนอาจารย์อ่านแล้ว มีความรู้สึกเหมือนกับว่าอ่านหนังสือปรัชญาของพุทธศาสนามากกว่า แต่ผมเข้าใจดีว่าท่านต้องการเขียนหนังสือเพื่ออธิบายธรรมะ งานเขียนของท่านเหมาะกับคนอ่านที่ชอบหนังสือซีเรียสนิดๆ อธิบายเป็นเรื่องเป็นราว หนังสือของท่านจะไม่ใช่หนังสือธรรมะอ่านแบบเบาๆ สบายๆ แบบอ่านแล้วมีความสุข จะไม่ใช่อย่างนั้น สไตล์การเขียนของท่านเป็นยังงี้มาสามสิบปีแล้ว
ถึงตอนนี้ผมยังอ่านเล่มนี้ไม่จบ ได้แต่เพียงอ่านเป็นส่วนๆไป แต่ก็เท่าที่ผ่านมาตอนนี้ก็เอ็นจอยมาก ตรงจริตกับผม ผมอ่านแล้วภาพของอาจารย์พร้อมรอยยิ้มสมัยเมื่อสามสิบปีก่อนก็ปรากฎขึ้นในใจ หวังว่าวันหนึ่งคงได้เจอและได้ไปกราบอาจารย์อีกครั้งหนึ่ง
Monday, March 01, 2010
บทความน่าสนใจ
ศาสตราจารย์ของฮาร์วาดคนหนึ่งเขียนบทความไว้ในหนังสือพิมพ์ที่ลิงก์ไว้ข้างบนว่า อเมริกาเป็นจักรวรรดิที่เปราะบาง (และอาจจะถล่มได้อย่างรวดเร็ว) โดยเฉพาะในแง่เศรษฐกิจ
ผมว่าน่าอ่าน เพราะผมก็มีความเห็นทำนองนี้มาเป็นปีๆแล้ว แต่ไม่ได้เขียนออกมาเท่านั้น
ผมว่าน่าอ่าน เพราะผมก็มีความเห็นทำนองนี้มาเป็นปีๆแล้ว แต่ไม่ได้เขียนออกมาเท่านั้น
Subscribe to:
Posts (Atom)